เมื่อวันที่ 19 มี.ค. พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น. 1 ใน 8 ลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ ให้สัมภาษณ์หลังทีมทนายความของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมแถลงข่าวกรณีถูกออกหมายเรียกในข้อหาฟอกเงิน เว็บพนันออนไลน์ BNK Master และชี้แจงเส้นทางการเงิน

พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีของบุคคลอื่นถึง 6 บัญชี ซึ่งข้อเท็จจริงได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนของ สน.ทุ่งมหาเมฆ แล้วทั้งสิ้น รวมทั้งมีการสอบเจ้าของบัญชีแล้วด้วยแต่กลับมีการนำข้อเท็จจริงเส้นทางการเงินในเรื่องสมคบฟอกเงินมาเป็นอีกคดี แต่ยืนยันว่าเป็นการโอนเงินในห้วงเวลาเดียวกัน จากนั้นเมื่อมีการสืบสวนขยายผลเส้นทางการเงินของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ไปสู่การล่อซื้อ และจับกุมของ สน.เตาปูน คือสำนวนคดี BNK Master ซึ่งเงินต่างๆ ที่มีการทำธุรกรรมของมินนี่ ข้อเท็จจริงได้ปรากฏแล้วว่า น.ส.พิมพ์วิไล เป็นเจ้าของบัญชี ที่มีการโอน และการทำธุรกรรมกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ และพนักงานสอบสวนก็ทราบข้อมูลตรงนี้แล้ว

พล.ต.ต.นำเกียรติ ยืนยันว่า เส้นเงินทั้งหมดปรากฏแล้ว แต่มีการอาศัยเอาข้อเท็จจริงบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป คือ วันเวลาที่โอนเงินเป็นวันเดียวกัน และกล่าวหา พ.ต.ท.คริษฐ์ ว่า สมคบฟอกเงินอีกหนึ่งคดี ที่ สน.เตาปูน ก่อนมีการจะดำเนินคดีที่เป็นข้อเท็จจริงที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าว ว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ ซึ่งตนไม่สามารถชี้ชัดได้ ทำได้เพียงแค่ชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้นว่าเป็นลักษณะนี้

ส่วนเรื่องเส้นทางการเงิน ตนในฐานะผู้ต้องหาร่วม กับทีมทนาย ได้รวบรวมพยานหลักฐาน จึงทราบข้อเท็จจริงจากการประสานร่วมกับทีมทนายความของ น.ส.พิมพ์วิไล เพื่อนำมาตรวจสอบว่า มีการทำธุรกรรมระหว่าง น.ส.พิมพ์วิไล และ พ.ต.ท.คริษฐ์ ว่ามีการทำธุรกรรมอะไร และได้ทำธุรกรรมวันไหน

จากนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ขยายความเพิ่มเติมจากทนายความถึงเส้นทางการเงินเส้นที่ 3 และ 4 ที่ยังไม่มีการออกหมายจับ โดยกล่าวถึงเส้นทางการเงินที่ 3 เชื่อมโยงถึง นาย ค. ซึ่งมีการทำธุรกรรม และโยงไปถึงญาติ ประกอบด้วยภรรยา พี่สาว และพี่ชายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ยศนายพล อักษรย่อ “ต.” โดยภรรยามีอักษรย่อ ก. ส่วนพี่สาวมีอักษรย่อ จ. และพี่ชายอักษรย่อ ช. พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่เส้นทางการเงินที่กระทำความผิด แต่เป็นเส้นทางการเงินที่เชื่อมไปถึงว่ามีการทำธุรกรรม

ต่อมา พล.ต.ต.นำเกียรติ ได้เล่าย้อนถึงมูลเหตุแรงจูงใจของการถูกดำเนินคดีตน และพวก จากการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงทำให้ตกเป็นผู้ต้องหา ตนเองจึงกลับไปคิดย้อนดู จึงเห็นว่า อาจจะเกิดจากการทำคดีกำนันนก และมีการขยายผลเรื่องส่วยทางหลวงต่อ และอีกคดีคือคดีอดีตผู้การชลบุรี 140 ล้านบาท หรือคดี “เป้รักผู้การเท่าไหร่” และเมื่อถึงกระบวนการสอบสวนเราได้รับจากการข่าวว่า มีข้าราชการตำรวจที่เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ต.อ. “ด.” ในเรื่องของการทำผิดกฎหมาย

พล.ต.ต.นำเกียรติ บอกต่อว่า จากทางการสืบสวนพบว่ามีเส้นทางการทำธุรกรรมของ พ.ต.อ. “ด.” ที่เชื่อได้จะกระทำความผิดต่อกฎหมาย และมีการทำธุรกรรมไปถึงบุคคลอื่นอีกจำนวนหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการตำรวจ โดยมีข้าราชการตำรวจอย่างน้อย 2 คนเป็นผู้หญิง อักษรย่อ ว. และ ก. โดยทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์กับข้าราชการตำรวจระดับสูง ทำให้การดำเนินการในการสืบสวนสอบสวนในคดีของตน ที่ทำโดยตำรวจ PCT ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีเพียงชุดเดียวเท่านั้น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ต้องหาเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ทำไมวันนี้ถึงออกมาเปิดหน้าชี้แจงกับสื่อ พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า ส่วนหนึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะช่วงจังหวะและโอกาส ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้มีโอกาสชี้แจง เราเป็นผู้ถูกกระทำ “พี่น้องสื่อมวลชนไปตรวจสอบประวัติการทำงานของตนได้ ถ้าตนชั่วขนาดนั้น ให้ดูสภาพความเป็นจริงที่ตนอยู่ หรือดูสภาพที่ตนเองใช้ชีวิตในประจำวัน” และเงินที่ได้มา ทุกคนก็คงทราบว่าต้องเลี้ยงดูคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ไปทำงานด้วยกัน ลำพังเงินเดือนของตน เลี้ยงลูกน้องไหวหรือไม่ กาแฟอเมซอนก็ตกวันละ 2 แก้วต่อวัน

“เมื่อผู้บังคับบัญชาเมตตามอบเงินให้มาเพื่อดูแลลูกน้อง เมื่อลูกน้องทำงานแล้วจะได้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือผู้บังคับบัญชาจะต้องมาเดือดร้อน ส่วนเหตุที่เดือดร้อนก็เพราะว่าลูกน้องของผู้บังคับบัญชาเองไปใช้บัญชีของคนอื่นเท่านั้น” พล.ต.ต.นำเกียรติ กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นการยอมรับใช่หรือไม่ว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีม้า โดย พล.ต.ต.นำเกียรติ กล่าวว่า ตนกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ เป็นผู้ต้องหา หาก พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีม้าในการกระทำความผิด หากมีเงินเข้า ก็จะต้องถูกถอนออกหมดใช่หรือไม่ และหากใช้บัญชีม้าโอนมาให้ตน และโอนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแม่ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และโอนให้บุคคลใกล้ชิด จึงตั้งคำถามว่าจะไปปกปิดบัญชีได้อย่างไร และนายให้เงิน พ.ต.ท.คริษฐ์ เอาเงินไปใส่ตู้ กลายเป็นลูกน้องมินนี่ เพียงเพราะไปพบภาพหลักฐานกล้องวงจรปิดบางส่วน โดยทั้งหมดนี้จะต้องไปสู้กันในชั้นศาลต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หลังจากตกเป็นผู้ต้องหา ได้กลับไปตรวจสอบหรือไม่ว่าได้เงินที่ได้จากผู้บังคับบัญชา มีที่มาจากไหนอย่างไร พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า การชี้แจงเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ให้เงินเรามา เราคงไปใช้อำนาจในการสืบสวนไม่ได้ เมื่อฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก็เป็นหน้าที่ของผู้กล่าวหา ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินที่ได้มานั้น มาจากการกระทำความผิด และที่ผ่านมาตนเองกับมินนี่ไม่เคยรู้จักหรือมีความเกี่ยวข้อง และจะรับเงินมาได้อย่างไร

พล.ต.ต.นำเกียรติ ยืนยันว่า การออกมาพูดในครั้งนี้ ไม่กังวลว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น หากมีอะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะยอมรับ ซึ่งตั้งแต่วันที่ตนเองถูกจับกุม ตนเองก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะที่ผ่านมาตนเองได้รับผลกระทบ ทั้งการถูกให้มาประจำ ศปก.ตร. และถูกตัดเงินเดือนตำแหน่ง และไหนจะครอบครัวที่จะต้องดูแล จึงไม่เหลือหน้าตาที่ทำงานมา และต้องน้อมรับในสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาและดำเนินการ.