เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติด่วน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153

นายสมชาย แสวงการ สว. อภิปรายว่า ก่อนอื่นต้องขอบคุณนายกฯ ที่ชี้แจงเรื่องที่ตนทักผ่านสื่อสาธารณะว่าท่านเดินทางไปต่างประเทศทำลายสถิติโลกและทำลายสถิติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปเรียบร้อยแล้ว และสัญญาว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศในอีก 2 เดือนต่อจากนี้โดยไม่เดินทาง ตนเชียร์ท่านอยู่เป็น 6 เดือน ทำหน้าที่นายกฯ ในฐานะซีอีโอ ผู้บริหาร ครม. ไม่ใช่หน้าที่เซลส์แมน การทำหน้าที่ซีอีโอต้องคุมเรื่องการผลิต การบริหารราชการแผ่นดิน คุมเรื่องความมั่นคง คุมเรื่องการแก้ปัญหาสังคม มีหน้าที่อีกเยอะ การไปขายของที่ยังขายไม่ได้ ไม่รู้จะผลิตอะไรนั้น ไม่เกิดประโยชน์ ในบางเรื่องที่ท่านชี้แจงไม่มีความจำเป็น การประชุมร่วมอาเซียนไม่ได้มีผู้นำอาเซียนไปทุกคน การประชุมที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หรือทั้ง 16 ทริป 15 ประเทศนั้นเป็นเรื่องที่มอบหมายรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องได้ และหวังว่าท่านจะตั้งใจทำหน้าที่ การเดินทางในประเทศอีก 32 ทริปก็ทำให้เสียเวลาในการนั่งหัวโต๊ะ ครม.ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง หรือด้านสังคม ซึ่งไม่มีเรื่องเหล่านี้ ประเทศจึงเกิดสุญญากาศมาตลอด 6 เดือน

นายสมชาย กล่าวต่อว่า นายกฯ หมกมุ่นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต วิงวอนมาตลอดว่าให้เลิกโครงการ อย่าดันทุรัง เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เสี่ยงผิดกฎหมาย นำไปสู่คดีความแน่นอน เม็ดเงินเหล่านี้จะละลายไปกับการแจกและไม่ได้ผล ถ้าเอาเงิน 5 แสนล้านบาทไปลงทุนโดยไม่แจก จะสร้างผลผลิตและได้ 5 แสนล้านบาทบวกๆ ประเทศไทยไม่ได้มีวิกฤติเศรษฐกิจ หากอยากทำจะต้องออก พ.ร.ก.เงินกู้ การแจกโดยตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ มีตัวอย่างมาแล้วที่ญี่ปุ่น เคยทดลองมาแล้ว ใช้ไม่ได้ผล ขอให้เลิกกู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต สร้างหายนะในอนาคต หากจะเดินโครงการต่อ ตนจะยื่นต่อ ป.ป.ช.ดำเนินคดี ประชาชนตั้งคำถามเหตุใดความนิยมรัฐบาล ในผลโพลล่าสุด จึงตกต่ำกว่าพรรคฝ่ายค้าน เหตุผลคือประชาชนรอมา 6-7 เดือนว่า จะมีอะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม ตนให้คะแนนสอบตกหมดทุกข้อ เพราะยังไม่ได้แก้ปัญหาในเศรษฐกิจปากท้องประชาชน ถ้ารัฐบาลยังกู้มาแจกแหลกลาญ 5 แสนล้านบาท หวังแค่คะแนนเลือกตั้ง ท่านกำลังทำลายประเทศ ดังนั้นท่านควรเปลี่ยน เชื่อว่าท่านจะคิดออก หาทางแก้ปัญหาระยะสั้น แล้วสัญญาว่าอีกกี่วัน กี่เดือนจะเสร็จ

นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนเรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้น วันนี้กระบวนการยุติธรรมประเทศกำลังเสื่อม ขาดความยุติธรรมถึงที่สุด นายกฯต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แต่ปล่อยให้เกิดกระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน บางคนเรียกไร้มาตรฐาน ที่ผ่านมาได้พบระดับอดีตผู้บริหารศาลหลายคน ทุกคนฝากให้แก้ไขกระบวนการยุติธรรมท้ายน้ำที่แม้ศาลจะตัดสินอย่างไร ก็มีกระบวนการลดโทษจากกรมราชทัณฑ์ที่บังคับใช้ไม่เท่าเทียมกับนักโทษทุกคน โดยเฉพาะกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งระเบียบถูกเขียนแล้วเปลี่ยนมันจึงเกิดช่องว่างหรือรูออฟลอว์ ตามที่พวกเรารู้กันอยู่ ไม่ใช่ Rule of law แต่เป็นรูช่องว่างของกฎหมาย ท่านทำตามกฎหมายหมดแน่นอน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 เขียนมาตรา 2 (7) ไว้จริง แต่มันบอกว่านักโทษที่จะได้รับสิทธิเหล่านี้ต้องประพฤติดี มีการศึกษาดี ช่วยราชการอย่างวิริยอุตสาหะ คำถามว่านายทักษิณทำตรงไหนบ้าง

นายสมชาย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามดูแล้วไม่ใช่ความผิดนายทักษิณ แต่ปัญหาคือ ระบบการบังคับโทษ นายทักษิณได้ไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจห้องวีวีไอพี อ้างว่าป่วย 4 โรค ขัดกับภาพที่นายทักษิณเดินทางไป จ.เชียงใหม่ เดิน ลุกนั่ง ขึ้นรถกอล์ฟ ขึ้นบันไดได้ตามปกติ ดูแข็งแรงดี ไม่รู้หมอโรงพยาบาลตำรวจรักษาดี หรือนายทักษิณกำลังใจดี ทราบว่าหมอที่รักษาเป็น พล.ต.ท.เกษียณแล้ว ชื่อย่อ “ส” เป็นหมอทางสมอง ส่วนการอ้างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้เปิดเผยอาการป่วยนั้น มีข้อยกเว้นไม่ให้ใช้บังคับแก่สส.  สว. และกมธ.ที่เก็บรวบรวมข้อมูลตามอำนาจหน้าที่ กรณีนี้ กมธ.จึงมีอำนาจเรียกเอกสารได้ ขณะที่การอ้างว่า มีผู้ป่วยได้รับการไปรักษาตัวนอกเรือนจำจำนวนมากนั้น ข้อมูลที่ กมธ.ได้รับจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค.2565-25 ธ.ค. 2566 มีนักโทษที่เป็นผู้ป่วยไปรักษาตัวภายนอก เกิน 30 วัน 100 คน เกิน 60 วัน 30 คน เกิน 120 วัน 3 คน หนึ่งในนั้นคือ นายทักษิณ ไม่รู้ใครโกหก

นายสมชาย กล่าวต่ออีกว่า ยิ่งไปดูกฎกระทรวงที่มีการแก้ไข มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสถานที่คุมขัง และอายุ จากเดิม ระบุต้องได้รับโทษมา 1 ใน 3 และอายุเกิน 70 ปี มีโรคประจำตัว มีการแก้ไขจากคำว่า “และ” เป็น “หรือ” ทำให้คนอายุ 70 ปี ไม่ว่าจะโกงชาติบ้านเมืองหรือไม่ สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ เรื่องนี้สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง วันใดเกิดวิกฤติศรัทธาจะนำมาซึ่งสึนามิ แก้ไขยาก ขอเสนอให้ดำเนินคคีกรณีนี้  3 ทางคือ 1.ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดหลักนิติธรรม เป็นที่สงสัยขัดกับการอภัยลดโทษหรือไม่ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่อง มีคำสั่งให้นายทักษิณกลับเข้าสู่กระบวนการรับโทษ ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทักษิณได้รับการรับโทษแล้ว 2.ร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งการให้นายทักษิณเข้ารับการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจและคำสั่งพักโทษ เป็นคำสั่งมิชอบ 3.การร้องต่อ ป.ป.ช. เอาผิดนายกฯ  รมว.ยุติธรรม และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง กรณีใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ.