เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 26 มี.ค. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงินงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท มีการปรับลดกว่า 9 พันล้านบาท ตามที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว และพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ของวุฒิสภา

พล.อ.ชาติอุดม ติดถะสิริ สว. ในฐานะประธาน กมธ.พิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วุฒิสภา รายงานผลการศึกษาว่า การประชุมได้ให้ความสำคัญเรื่องของผลสัมฤทธิ์​จากการใช้จ่ายงบฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา และการใช้จ่ายงบฯ ปี 67 กมธ. มีการประชุมทั้งสิ้น 45 ครั้ง โดยเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 67 มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2566 แต่มีปัจจัยเสี่ยงทางด้านการคลังในการกลับมาขยายตัวของภาคการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการอุปโภคบริโภค และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการการลดลงของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณ ปี 2567 ส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบลงทุนภาครัฐปี 2567 และแนวโน้มการลดลงของพื้นที่การคลัง จากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวม และภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น

พล.อ.ชาติอุดม กล่าวต่อว่า อาจทำให้รัฐบาลขาดความยืดหยุ่นในการก่อหนี้ใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเกิดวิกฤติครั้งใหม่ รวมทั้งการขาดศักยภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่สำคัญ โดยเฉพาะหากรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการพักหนี้เกษตรกร การปรับเงินเดือนข้าราชการ รวมทั้งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาระการคลังที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ภาระดอกเบี้ยและการชำระคืนต้นเงินกู้ จากการดำเนินโครงการกระเป๋าตังค์ดิจิทัล ซึ่งจะต้องมีระยะเวลาในการใช้หนี้เป็นระยะเวลานาน เมื่อเทียบกับผลที่ได้รับในช่วง 1-2 ปี ภาระทางการคลังที่ต้องชดเชยให้แก่สถาบันการเงินในโครงการพักหนี้เกษตรกร ปรับเงินเดือนข้าราชการและค่าจ้างขั้นต่ำ และมีการประเมินว่า ในการที่รัฐบาลมีการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะมีการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท จะทำให้พื้นที่การคลังเหลือเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น อาจไม่เพียงพอในการรองรับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

พล.อ.ชาติอุดม กล่าวต่อว่า การเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดเก็บรายได้ กมธ. มีข้อเสนแนะดังนี้ 1.การจัดเก็บภาษีทุกชนิด โดยเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จะต้องขยายการจัดเก็บทุกภาคส่วนอย่างเป็นธรรม จะต้องไม่กระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน มีมาตรการจัดการกับผู้หลบเลี่ยงภาษีอย่างจริงจัง อย่างเป็นรูปธรรม และมีมาตรการลงโทษที่รวดเร็ว เพื่อช่วยให้มีเม็ดเงินเข้าสู่รัฐบาลที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 2.รายได้จากรัฐวิสาหกิจ ประกอบไปด้วยรัฐวิสาหกิจที่ไม่ขอรับงบประมาณ เนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้มากกว่ารายจ่าย เพิ่มจำนวนการนำส่งเงินเป็นรายได้ให้รัฐมากขึ้น โดยไม่ให้กระทบกับประชาชน รวมทั้งรัฐวิสาหกิจที่ขอรับงบฯ ควรให้การลงทุนในโครงการเสร็จทันตามเวลาที่กำหนด เพื่อสามารถเปิดกิจการและมีรายได้จากการบริการประชาชน จะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล หากมีผลประกอบการที่ดี จะช่วยส่งรายได้ให้รัฐบาล.