เมื่อวันที่ 28 มี.ค. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยสร้างไทย ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณ ปี 2567 กล่าวว่า ที่ผ่านมาให้ความเห็นกรณีกองทัพเรือ พยายามจะของบประมาณปี 2568 จากรัฐบาล ในการซื้อเรือฟริเกตอีกครั้ง หลังจากถูกรัฐบาลปรับโครงการนี้ออก ในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการงบปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งตนเป็น 1 ในกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ยกมือให้กองทัพเรือ เพราะเห็นในความจำเป็นว่า กองทัพเรือมีเรือรบปลดระวางตามอายุการใช้งานหลายลำ ทั้ง เรือหลวงสุโขทัย ก็เพิ่งอับปาง เรือดำน้ำก็ยังมีปัญหาคาราคาซัง
 
นายชวลิต กล่าวต่อว่า ตนเห็นถึงความพยายามของกองทัพเรือในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ ปี 2567 แม้การอุทธรณ์ไม่เป็นผล กองทัพเรือก็ยังมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการของบประมาณ ปี 2568 จึงอยากจะฝากข้อสังเกตไปยังรัฐบาลว่า ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณฯ ตนได้เห็นข้อมูลที่กองทัพเรือแสดงเหตุผลในการอุทธรณ์ของบประมาณจัดซื้อเรือฟริเกต ในการพิจารณางบประมาณปี 2567 ที่ผ่านมา เห็นว่าข้อมูลของกองทัพเรือเป็นเหตุเป็นผลเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลเรื่องดุลอำนาจทางทะเลในการรักษาอธิปไตยทางทะเล และการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของชาติ ปรากฏว่าดุลอำนาจของไทยต่ำกว่าประเทศในกลุ่มอาเซียนมากพอสมควร จึงอยากจะให้รัฐบาลได้ทบทวนการพิจารณาจัดซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรืออีกสักครั้ง เพื่อพัฒนาดุลอำนาจให้ทัดเทียมกับต่างประเทศในย่านนี้

นายชวลิต กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลเห็นชอบในการจัดซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือ ควรกำหนดเงื่อนไขในการจัดซื้อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ ก็จะได้ประโยชน์อย่างน้อย 2 อย่าง คือ กองทัพเรือได้เรือฟริเกตไว้ปกป้องอธิปไตยทางทะเลและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กับประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่เงินงบประมาณไม่ไหลออกนอกประเทศ ทั้งยังเกิดการจ้างงานในประเทศ และที่สำคัญ เกิดการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศไปพร้อม ๆ กัน.