เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจรับอาคารรัฐสภาว่า ความเห็นครั้งสุดท้ายของกรรมการเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ในช่วงรอยต่อของเลขาธิการสภาทั้ง 2 ท่าน ซึ่งเลขาธิการคนปัจจุบัน มีความเห็นที่จะส่งความเห็นไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด และได้ให้ความเห็นมาว่า สภาสามารถแก้ไขสัญญาในรอบสุดท้ายได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นดุลพินิจของเลขาธิการสภาคนปัจจุบัน ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ตรวจรับ เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดจะเป็นความรับผิดชอบของสำนักงานเลขาธิการสภา

รองประธานสภา คนที่1 กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนเข้าใจว่า กำลังอยู่ในกระบวนการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนที่สุด เพราะการจะรับหรือไม่รับ ก็มีผลที่ตามมาทั้งสิ้น แน่นอนว่ามีเรื่องที่อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถทำให้ทุกคดีใน ป.ป.ช. ถูกถอน ถึงจะสามารถตัดสินใจได้ การตัดสินใจรอบนี้ จะไม่ผูกพันกับผลของ ป.ป.ช. ดังนั้น การสืบสวนคดีและข้อร้องเรียนต่างๆ จะยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้

เมื่อถามถึงกรณีที่มีอดีต สส. ของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผย พบพิรุธในการก่อสร้างเขื่อนสภาผิดสเปก จึงทำให้มีความสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล ทราบเรื่องนี้แล้วหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตรงนี้ไม่ได้อยู่ใน 6 จุดสุดท้าย เพราะอาคารรัฐสภาใช้งานมาแล้วหลายปี หากมีความผิดพลาดในส่วนต่างๆ ก็สามารถร้องเรียนขึ้นมาได้ และเราก็ต้องตรวจสอบว่า ความผิดพลาดนั้น เกิดขึ้นจากแบบ จากการควบคุมงาน หรือจากการใช้งาน

“เรื่องนี้ผมได้ยินแค่ข่าว แต่ต้องยอมรับว่า ทุกคนไม่ได้มีพิมพ์เขียวในมือ ทุกคนไม่ได้อ่านแบบเป็น เพราะฉะนั้น เวลาได้ยิน ได้ฟังอะไร ก็ต้องเข้าสู่มือของกรรมการ และต้องตรวจสอบให้ตรงไปตรงมามากที่สุด” นายปดิพัทธ์ กล่าว.