เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเมียนมา ว่า คณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา ได้มีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยได้รับทราบสถานการณ์ว่ายังมีความผันผวน มีการขยายพื้นที่การสู้รบระหว่างฝ่ายต่อต้านกับกองทัพเมียนมา ขณะที่เมืองเมียวดีและบริเวณชายแดนตรงข้ามกับไทย เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายต่อต้านและกองทัพเมียนมาต่างต้องการยึดครอง สำหรับในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบว่าสถานการณ์ดีขึ้น ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ยินเสียงการยิงปะทะกัน อย่างไรก็ตาม ขอย้ำท่าทีของฝ่ายไทยว่า 1.ไทยยึดมั่นรักษาอธิปไตยของประชาชนชาวไทย รวมถึงการดูแลความปลอดภัยความมั่นคงของชาวไทย 2.ไม่ให้ฝ่ายใดใช้ดินแดนไทยดำเนินกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลต่างประเทศ 3.ไทยยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบการสื่อสารต่อสาธารณชนไทยและต่างประเทศ รวมถึงเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานด้านการทูต ส่วนศูนย์สั่งการชายแดนจังหวัดตาก จะเป็นหน่วยงานหลักในการให้ข่าวในพื้นที่ และขณะนี้ไทยได้ประสานงานให้มีการประชุมกลไกอาเซียน ทรอยกา และกรอบอาเซียน ทรอยกา พลัส ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในฐานะประธานอาเซียนปัจจุบัน ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปว่าการประชุมดังกล่าวจะเกิดที่ไหน แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจัดในไทยก็ได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นปัญหาภายในของเมียนมา และไทยไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังไม่ได้รับการติดต่อจากฝ่ายใดในฝั่งเมียนมา เพื่อให้เข้ามาเป็นตัวกลางการเจรจา

นายนิกรเดช กล่าวว่า ตามที่ได้รับรายงานสถานการณ์นั้น ไม่มีการสู้รบบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา แต่หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ยังเตรียมความพร้อมอยู่ตลอด ส่วนชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาในไทย 3,000 กว่าคน ขณะนี้เดินทางกลับไปแล้วจำนวนมาก โดยมีผู้ที่ยังอยู่ในไทยประมาณ 650 คน และมีแนวโน้มที่ผู้หนีภัย จะเดินทางกลับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การดูแลผู้หนีภัยความไม่สงบนั้น เมื่อมีคนเดินทางเข้ามา เราจะมีพื้นที่แรกรับเพื่อแยกแยะว่าเป็นคนกลุ่มใด เพื่อเก็บข้อมูล แล้วจะนำคนเหล่านั้นไปในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวก่อนจะพาไปยังพื้นที่พักรอซึ่งทางการไทยมีพื้นที่พักรอเกิน 50 จุด ขณะที่กาชาดได้ตั้งศูนย์รับบริจาคสิ่งของจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรต่างๆ สำหรับปริมาณการค้าในพื้นที่ชายแดนนั้น ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ที่ผ่านมา ลดลงไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องขวัญกำลังใจของประชาชนตามแนวชายแดนนั้น ยังมีมาก และพวกเขาทราบดีว่าสามารถขอย้ายไปยังพื้นที่ที่มีความปลอดภัยได้หากมีความจำเป็น รวมถึงกองกำลังนเรศวร ยังมีชุดทหารเดินสายให้ความรู้และให้ความมั่นใจแก่ประชาชน ซึ่งสามารถลดกระแสความกังวลของประชาชนได้มาก โดยรวมถือว่าสถานการณ์ปัจจุบันตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานนั้น พบว่าดีขึ้นค่อนข้างมาก แต่ฝ่ายไทยยังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง เพราะอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด และเรามีแผนรองรับสถานการณ์เช่นกัน จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่มีความสบายใจและไว้วางใจได้ว่า หน่วยงานต่างๆ จะดูแลความปลอดภัยของประชาชนเป็นลำดับแรก

เมื่อถามว่าที่ประชุมได้ประเมินหรือไม่ว่าจะสามารถเปิดด่านพรมแดนฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ได้เมื่อไหร่ นายนิกรเดช กล่าวว่า ตอนนี้ขึ้นอยู่ที่ว่าฝั่งเมียนมา จะมีการเจรจากันไปถึงไหน ตนเชื่อว่าด่านบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา น่าจะเปิดได้ในเร็วๆ นี้ โดยในการลงพื้นที่ อ.แม่สอด ของนายปานปรีย์ พหิทานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้หารือกับสภาหอการค้าและภาคเอกชน ซึ่งทุกฝ่ายมีความประสงค์เดียวกันว่า อยากจะให้การค้าในพื้นที่ชายแดนดังกล่าว กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว