ข่าวบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลให้ง่อนแง่นออกมาเป็นระยะ เรียกได้ว่า “รัฐบาลเลื่อยขากันเอง” ให้เป็นที่ตลกขบขันของชาวบ้านกันเล่นๆ ตั้งแต่อภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) ก็เล่นกันพรรคเกือบแตก มีการจับตามองความสัมพันธ์ของ “พี่น้อง 3 ป.” กันวุ่นวายว่าใครจะแตกก่อนกัน

อย่างว่า การเมืองมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ “อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น” ก่อนหน้านี้อาจมองเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมา แต่ใครจะรู้ว่า “อะไรทำให้คนเปลี่ยน” ทำให้เกมการเมือง “ฉบับท่าแซะ” นี้ต้องดูกันต่อ และก็ไม่น่าจะยาวเท่าไร ถ้าสภาพของรัฐบาลร่อๆ แร่ๆ อยู่อย่างนี้มีโอกาสอยู่ไม่ครบวาระด้วยหลายเหตุผล

หลังเหตุการณ์ปลด “กล่องดวงใจ” บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แบบสายฟ้าแลบ ข่าวความขัดแย้งในพรรค พปชร.ก็ซ้ำเติมด้วยข่าวการตั้งพรรค “เศรษฐกิจไทย” ที่ว่ากันว่า “ปลัดฉิ่ง” นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยจะมาคุมบันเหียนเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งก็เริ่มพูดกันเรื่อยๆ ว่า “อีก 2 ป.อาจไปพรรคนี้”

2 ป.ที่ว่า คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ซึ่งคอการเมืองหลายคนก็งงๆ ว่า “เอาความมั่นมาจากไหน” ที่คิดว่า ถึงไม่ใช้พรรค พปชร. เชิด ใช้พรรคใหม่ก็จะกลับมาได้.. ลำพังกระแส พปชร.ตอนนี้ก็ค่อนไปในแนวดิ่งอยู่พอสมควร ปัญหาพรรคแตกแหล่มิแตกแหล่อีก

พูดก็พูดเถอะ การที่ 3 ป.อยู่ในอำนาจ (ที่ยึดมา ) แบบยาวนาน ทำให้ท่าทีของ 3 ป. นี่ดูเป็น “ผู้นำรัฐราชการ” ที่เข้าถึงยาก อะไรๆ ก็เป๊ะขั้นตอน เป๊ะระเบียบ บางเรื่องที่มันควรจะลัดได้บ้างทั้งที่ตัวเองมีอำนาจ แต่พอหมด ม.44 ก็ไม่ค่อยอยากจะทำ เช่นเรื่องการบริหารจัดการโควิดที่ทำให้เกิดความล่าช้าเรื่องวัคซีน, ค่าที่ตรวจ ATK ทั้งที่มีอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

พอเสถียรภาพของรัฐบาลชักจะง่อนแง่น เราก็เห็น ป.ป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ออกมาพูดอะไรเป็นข่าวบ้าง ทำนองว่า ตัวเองไม่ใช่นักการเมือง..คงจะออกตัวว่าเข้าหาประชาชนไม่ค่อยเก่ง คนที่ดูข่าวอยู่ได้แต่ถอนหายใจ..ช้าไปแล้วลุง เพราะก่อนหน้านี้ช่วงเป็นรัฐบาล คสช. แทบจะไม่เห็น มท.1, มท.2 ทำอะไรนอกจากแต่งตั้งโยกย้าย

ส่วน ป.ประยุทธ์นั้น ถ้าอยากกลับมาใหญ่เห็นทีต้องปรับท่าทีขนานใหญ่ ซึ่งก็ผสมกับว่า พล.อ.ประยุทธ์โดน “ลูกหมั่นไส้” มาก่อนหน้านี้เยอะ ประมาณว่าในช่วงที่เป็นรัฐบาล คสช.นั้น เหมือนจะพูดก็พูด จะทำอะไรก็ทำ ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างนิ่งไม่มีฝ่ายค้านมาตำหนิท่านผู้นำว่าพูดไม่ค่อยจะหอมหู

ตอนนี้ ป.ประยุทธ์ เวลาพูดอะไรไม่ระวังทีก็กลายเป็นตำบลกระสุนตกใส่ ทำนองว่า “เหลิงอำนาจ พูด (ทำ) ไม่คิด” ตั้งแต่ตอนฉีดแอลกอฮอล์ใส่สื่อที่ทำเนียบ สัมภาษณ์เรื่องโควิดตอนคนเขาเครียด ๆ ก็หลุด “นะจ๊ะ” หรือที่ชอบนักให้สวดมนต์ จนถูกด่าเอาว่าทำอะไรไม่ได้ให้สวดมนต์ไล่ ไล่โควิดบ้าง ไล่น้ำท่วมบ้าง

มีคนมองเรื่องท่าทาง ภาษาของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า “ถ้าแกเป็นลุงข้างบ้านแก่ๆ ที่ไม่มีอำนาจอะไรก็เป็นคนน่าคบหาอยู่ดูมีอารมณ์ขัน แถมพูดเร็วฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องด้วย แต่นี่ในความเป็นผู้นำประเทศ ภาวะรุมเร้าทั้งโควิด น้ำท่วม เศรษฐกิจแย่ เขาต้องการความชัดเจนและความเคร่งขรึมจริงจังที่ผู้นำต้องแสดงออกสร้างความมั่นใจได้”

อย่าว่าแต่ ป.ประยุทธ์ ป.ประวิตรนั้นก็ประเภทตอบส่งเดชไปเรื่อย คือในยุคที่คนต้องการความเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนา จะมาใช้วิธีเดิมๆ แล้วอ้างรักชาติ รักประชาชนไปเรื่อยไม่ได้ ต้องแสดงวิสัยทัศน์อะไรนอกจากพรรคแตก ขั้วไหนจะจับกับขั้วไหนบ้างก็ได้ ไม่ใช่เพื่อ 3 ป. จะได้กลับมาหรอก แต่เพื่อคนจะรู้ว่า “ผู้นำพึ่งได้”

อยากกลับมา ต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่แค่ผลงาน แต่บุคลิกการวางตัวก็สำคัญ.