เดินหน้าทำงานทั้งเบื้องหลังและเบื้องหลังมาอย่างต่อเนื่องสำหรับ ก้อง ปิยะ ซึ่งทุกงานของพี่ก้องนั้นก็ไปได้ดีมากๆโดยเฉพาะบริษัทรับจัดอีเวนต์ของตนเอง แต่เมื่อโควิดมาหลายระลอก ก็ทำเอาบริษัทขาดทุนและคนก็สังเกตเห็นพี่ก้องผอมลงไปมากๆ ทำให้คนห่วงหนัก ล่าสุดเจอตัวพี่ก้องเจ้าตัวเล่าว่ามีความเครียดเรื่องงานและหวั่นเป็นโรคซึมเศร้าด้วย

ก้อง เผยว่า “ตอนนี้นะคะเวลาจัดงานอีเวนต์คือบอกก่อนนะ ของบริษัทเรา เราทำทั้งออนไลน์ เป็นแบบ Global ไปทั่วโลก ไปจีน ไปอเมริกาอย่างนี้แทน แล้วก็ออนกราวด์ เป็นออนกราวด์ผสมผสานกับออนไลน์ ทุกอันที่ทำเราก็จะมีการตรวจ ATK สมมติว่าทำ 2 วัน เซตอัพ 1 วัน ก็ต้องตรวจทั้ง 2 วัน แล้วก็ห้ามคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องในกองเรา แล้วทุกคนก็ต้องฉีดวัคซีน คือเราก็ต้องทำมาตราฐานมัดรัดกุมมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำออนไลน์อยู่ในห้องที่ปิดๆ บางทีเราต้องระวังมากๆ เพราะว่าเราไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ก็เลยต้องระวังนิดหนึ่ง ส่วนความยากง่ายของการออนไลน์กับออนกราวด์มันต่างกัน คือเมื่อก่อนเราทำออนกราวด์ตามห้างต่างๆ มันก็มีสีสันแบบหนึ่ง พอตอนนี้มาทำออนไลน์ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราสามารถสร้างอะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทำให้มันมีความมหัศจรรย์ขึ้น มีสีสัน มีชีวิตชีวามากขึ้น เอาออนกราวด์มาผสมกับออนไลน์มากขึ้น จริงๆ เมื่อก่อนไม่ถนัดออนไลน์เลยนะ แต่พอโควิดมาปี 63 ต้องปรับตัวมาทำออนไลน์กันสุดฤทธิ์สุดเดช เราก็ต้องทำด้วย ต้องศึกษาต่างๆ นานา ก็ทำมาเต็มที่ เราว่าสนุกดีนะ ได้อะไรแปลกใหม่กับชีวิตค่ะ”

“เรื่องรายได้ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าทุกอาชีพโดนเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าเราก็ต้องดูแลสิ่งที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุด ลดค่าใช่จ่าย แต่อยู่ในปริมาณที่เราสามารถที่จะรองรับลูกค้าได้ถูกในที่สุด ทำอะไรก็ตาม ก็พยายามดูแลต้นทุน ให้สามารถครอบคลุมทุกอย่างได้ นักข่าวเองก็คงจะโดนเหมือนกัน ช่องทีวีก็โดนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องดูแลต้นทุนให้ได้มากที่สุด รายได้ก็จะน้อยลงหน่อย แต่ก็ต้องทำใจค่ะ รายได้น้อยกว่าเดิมมั้ย ตอนนี้ยังไม่กล้าประเมิน เพราะเมื่อต้นปี 63 จนถึงกลางปีนี้ ก็เจอไปหนักเหมือนกัน มันมาๆ ไปๆ ทีนี้เมื่อไหร่ที่โควิดมันคงที่ รู้แล้วว่าจะมาแค่ไหน เราก็อาจจะประเมินกันได้ ว่าหายไปเท่าไหร่ แต่บอกได้เลยว่า หายไปเยอะเหมือนกัน”

“ทุกคนถามว่าทำไมถึงผอม ไม่ได้ลดน้ำหนักนะคะ ผอมเพราะว่า เวลาที่โควิดมารอบ 1 รอบ 2 รอบ 3 ก็ต้องตั้งใจศึกษา ทำให้เครียด เราก็ไม่มีครอบครัว ลูกก็ไม่มี ผัวก็ไม่มี พนักงานทุกคนก็เหมือนครอบครัวเรา เราก็ต้องพยายามหางานหาเงิน ดูแลบริษัทให้รอดอยู่ได้ เราก็เครียด เพราะปีที่ไม่มีงาน มันหยุดอยู่บ้านกันทุกคน มันก็เหนื่อย ไม่ใช่แค่ผอมลงนะ ผมร่วงด้วย”

ก้อง เล่าต่อว่า “เครียดนะคะ เคยอยู่เมื่อต้นปีที่แล้ว โควิดมาระลอกแรกพี่ว่าพี่เป็นซึมเศร้า พี่เคยรู้สึกว่าไปดูรูปคุณพ่อคุณแม่แล้วอยากไปอยู่กับเขา อยากจะไปอยู่กับเขาทั้งๆที่เขาไปแล้ว ก็อยากไปอยู่ตอนช่วงนั้น รู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นซึมเศร้า ก็ยังโทรไปบอกพี่ชุดาภาว่า เอ๊ะทำไมตัวเองถึงอยากไปอยู่กับพ่อแม่ที่เสียไปแล้ว เขาบอกว่าเป็นซึมเศร้าแล้วล่ะ ต้องหันมาทำงาน และทำจิตใจให้สู้ให้ได้ จนต้นปี พ.ศ.2563 โควิดรอบแรกนะคะ ตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ปลอดภัย ถามว่าดึงตัวเองกลับมายังไง พี่ก็พยายามทำงาน คุยงานแล้วก็หาอะไรทำให้เรามีจุดมุ่งหมาย แล้วก็มองคนอื่นไปว่าคนอื่นเขาก็ทุกข์กว่าเราเยอะ คนอื่นเขามีปัญหากว่าเราเยอะ ถ้าเกิดเราไม่สู้ แล้วใครเขาก็ลำบากเหมือนเราจะทำยังไง เลยต้องสู้ต่อ”

“2 ปีผ่านไปขาดทุนไป ก็เป็นเงินประมาณ 8 หลักค่ะ ก็เหนื่อย แต่โชคดีที่เราเก็บออมสะสม ตอนนี้เราก็ยังปลอดภัย ลูกน้องที่อยู่กับเราตอนนี้ก็ยังทำงานปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เราไม่เคยทิ้งเขานะ ไม่เคยค่ะ พอโควิดมารอบ 1 รอบ 2 ก็จะมีการปิดบริษัท แต่พี่เนี่ยตอนนี้ 2 ปีแล้วก็ยังสู้ต่อ เพราะพี่คิดว่าแสงสว่างที่ปลายทางมันยังมีอยู่ พี่ก็ยังสู้ต่อ ลูกน้องทุกคนที่อยู่กับพี่ เขาก็ยังสู้ต่อ เราเองก็มีความเชื่อมั่นในการทำงานของเราอยู่ เราก็มั่นใจผลงานและคุณภาพของเรา โควิดมายังไงก็ต้องสู้ค่ะ ไม่สู้คือไม่มีกินนะคะ ทุกคนก็ต้องสู้ และช่วยกันดูแลตัวเองให้ปลอดภัย”

ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม kongpiya