วันที่ 7 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประกาศชุมนุมหน้ากระทรวงพลังงาน เรียกร้องให้รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลและขับไล่ รมว.พลังงาน ออกจากตำแหน่งนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและรมว.พลังงาน ได้ตอบในเรื่องนี้ว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ กระทรวงพลังงานได้รับข้อเสนอและสามารถให้ข้อมูลได้มากที่สุด ตอนนี้กำลังดูมาตรการเดิมที่มีไปถึงวันที่ 31 มี.ค. และหากได้ข้อเรียกร้องต่างๆมาจะไปดูว่าสามารถนำไปปรับปรุงอย่างไรและทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมาได้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาท ส่วน 25 บาทคงต้องมาดูกันว่าตัวเลขนี้มาได้อย่างไรและมันจะได้ประโยชน์อย่างไรแล้วใครได้ประโยชน์บ้าง

ส่วนกรณีตั้งข้อสังเกตการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น แต่ไม่ลดให้รถบันทุกเป็นการเอื้อนายทุนหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ บอกว่า เป็นเรื่องที่อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน และมาตรการที่ว่าเป็นมาตรการชั่วคราว

“สิ่งที่สหพันธ์รถบรรทุกขอไม่ใช่มาตรการเฉพาะ วันนี้รัฐช่วยลิตรละ 5 บาทอยู่แล้วเท่ากับภาษีสรรพสามิต ถ้าวันนี้ไม่มีการตรึงราคาไว้เลย วันนี้ราคาดีเซลทะลุถึง 35 บาท เราจะพิจารณาช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไปก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงนี้ราคาน้ำมันขึ้นมาเร็วมากเพียงเดือนเดียวขึ้นมา 5 บาทกว่าเกือบ 6 บาทต่อลิตร ถือเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนซึ่งรัฐบาลก็ทำอย่างเต็มที่แล้วภายใต้กรอบและจำนวนเงินที่มีอยู่”

นอกจากนี้ นายสุพัฒนพงษ์ ได้ตอบกรณีมีเรียกร้องขับไล่รัฐมนตรีว่า ถือเป็นเรื่องธรรมดาทุกคนก็มีความขุ่นเคืองในยามนี้ เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เป็นสถานการณ์ที่เรากำลังอยู่ในวิกฤติระดับโลก ทั้งเรื่องควบคุมโควิด เรื่องฉีดวัคซีน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตนคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของการเมือง ยืนยันไม่ท้ออะไรสบายๆ เพียงแต่ช่วงนี้เจ็บตาเพราะอาจอ่านหนังสือเยอะ

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ประเด็นที่สหพันธ์ฯ จะขอขึ้นราคาค่าขนส่ง 20% หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ จะทำให้วงจรค่าขนส่งเปลี่ยนไปหรือไม่นั้น อยู่ที่สถานการณ์และข้อตกลงของการขนส่ง ระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเขาจะขึ้นได้มากแค่ไหนตามกลไกตลาด ถ้าหากภาคเอกชนขึ้นราคาบริการขนส่ง ถือเป็นกลไกตลาดเสรี เราจะไปบังคับทุกเรื่องไม่ได้และต้องถามว่าผู้รับบริการจะยอมให้ขึ้นหรือไม่และต้องพูดคุยกันเพราะมีผู้ให้กับผู้รับ