“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” รายงานสถานการณ์เงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมามีทิศทางอ่อนค่า แตะระดับอ่อนค่าสุดรอบกว่า 2 เดือน ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับสงครามยูเครน-รัสเซีย มีสัญญาณตึงเครียดมากขึ้น

ขณะที่สหรัฐและกลุ่มนาโตจะตอบโต้รัสเซีย หากรัสเซียมีการโจมตียูเครนด้วยอาวุธเคมีหรืออาวุธชีวภาพ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ ยังมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมเดือน พ.ค. ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มจำกัดลงช่วงปลายสัปดาห์ หลังมีแรงขายเงินดอลลาร์ ซึ่งน่าจะมาจากผู้ส่งออก

ทั้งนี้ ในวันศุกร์ (25 มี.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ 33.55 บาทต่อดอลลาร์ หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.72 เทียบกับระดับ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (18 มี.ค.) โดยระหว่างวันที่ 21-25 มี.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยรวม 5,020 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น NET OUTFLOW หรือเงินไหลออกสุทธิในตลาดพันธบัตร 2.50 หมื่นล้านบาท (ขายสุทธิ 1.24 หมื่นล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1.26 หมื่นล้านบาท)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (28 มี.ค.-1 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.30-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือน ก.พ. ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย, ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และแรงซื้อเงินดอลลาร์ ในช่วงปิดไตรมาส

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือน มี.ค. รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคา PCE Price Index เดือน ก.พ. และข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/2564 นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามข้อมูล PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือน มี.ค. ของจีนด้วยเช่นกัน