เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายนิติธร ล้ำเหลือ กลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) เข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อให้ปากคำคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ “แตงโม” หลังจากได้ยื่นหนังสือขอให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ

นายนิติธร กล่าวว่า ตนมาให้ปากคำในฐานะที่เป็นผู้ยื่นคำร้องคดีนี้ ส่วนตัวมองว่าคดีดังกล่าวเข้าข่ายคดีพิเศษเนื่องจากมีความสลับซับซ้อน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเสื้อผ้าของแตงโมและของบุคคลที่อยู่บนเรือทั้งหมด ซึ่งตำรวจควรนำมาตรวจสอบ เพื่อหาความสัมพันธ์กับบาดแผลของแตงโม รวมทั้งเศษดินทรายที่พบในปอดของผู้เสียชีวิต การตรวจพื้นน้ำและปริมาณของสิ่งต่างๆ ที่เข้าไปในร่างกาย เพราะจำนวนสิ่งของที่เข้าไปในร่างกายสามารถบอกได้ว่าจมน้ำลึกในระดับใด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องรอยแผลลักษณะเหมือนก้างปลาที่ขาด้านหลัง ซึ่งไม่ได้ถูกพูดถึงในการตรวจครั้งแรก ทั้งที่กระบวนการเหล่านี้ ควรตรวจพบทันทีตั้งแต่พบร่างแตงโมแล้ว ซึ่งประเด็นต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงการตั้งข้อกล่าวหา เป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ประสิทธิภาพของพนักงานสืบสวนสอบสวน ในขณะที่พยานหลักฐานควรเป็นอีกแบบและส่วนตัวมองว่าเพียงพอมากกว่าที่จะเป็นเรื่องประมาท หรืออุบัติเหตุ ดังนั้นการแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาท หรือข้อหาโทษเบา จึงเป็นเพียงการลดกระแสของสังคม

นายนิติธร กล่าวอีกว่า สำหรับตนเองไม่เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของตำรวจ แม้ว่าจะอ้างว่าทำเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ไม่ทราบว่าเต็มที่ภายใต้อิทธิพลหรือผลประโยชน์ของใครหรือไม่ หากจะให้วิเคราะห์การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจถือว่ายังมีข้อบกพร่อง ทั้งนี้ หากตนเองพบว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่เป็นไปตามกฎหมาย หรือมีข้อบกพร่อง ตนเองก็จะร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157

“หากส่งสำนวนให้อัยการก่อนที่ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษ ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ผมเป็นทนายทำคดีสำคัญมามากมาย รู้ว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ พูดได้หรือไม่ได้ หรือพูดอย่างไรเป็นการเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น ผมไม่หนักใจ แต่คนที่หนักใจคือตำรวจ อย่างไรก็ตาม หากคิดว่าส่งสำนวนคดีนี้ให้อัยการแล้วถือว่าคดีจบ ตามขั้นตอนมีกระบวนการที่จะดำเนินการต่อไป ถ้าคดีไม่จบ แล้วไปทำให้จบผู้เกี่ยวข้องก็ต้องรับผิดชอบ” นายนิติธร กล่าว