จากกรณี น.ส.วิราวรรณ ชวดพงษ์ อายุ 40 ปี อยู่เลขที่ 9/229 หมู่ 3 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ร้องผู้สื่อข่าว ว่าได้โอนเงินร่วม 3 แสนบาท ผิดบัญชีเงินไปเข้าบัญชีของ น.ส.เสาวนีย์ หญิงสาวชาวจังหวัดบุรีรัมย์ และต้องลำบากเพราะติดต่อประสานงานกับธนาคาร ทั้งใช้วิธีโทรฯผ่านคอลเซ็นเตอร์ และไปติดต่อธนาคารสาขา กลับโยนกันไปมา สุดท้ายได้แค่รับเรื่องไว้ ไม่มีการอายัดเงินไว้ให้ได้ ต้องวิ่งหาสืบสวนข้อมูลเอง จนสามารถได้เงินกลับคืนมา 160,000 บาท ที่เหลือสาวเจ้าของบัญชีปลายทางบอก ”หมดแล้วยอมติดคุก” ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ บ้านของ น.ส.เสาวนีย์ อยู่หมู่ 8 ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พบว่า บ้านยังปิดเงียบเหมือนเดิม มีเพียงนายบุญชู (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี สามีของ น.ส.เสาวณีย์ อยู่ภายในบ้าน เมื่อผู้สื่อข่าวเคาะประตูบ้าน สามีนางเสาวณีย์ ได้ออกมาจากบ้าน แต่ไม่ยอมพูดกับ ผู้สื่อข่าวตอบสั้นๆว่า ”ภรรยาได้หนีไปอยู่ในเมืองแล้ว” ไม่สามารถติดต่อได้ แล้วล็อกประตูบ้านเดินหนีออกจากผู้สื่อข่าวไป

สาวช้ำโอนเงิน2.9แสนเข้าผิดบัญชี โดน 2 เด้งแบงก์ไม่สน คนรับเงินบอกใช้หมดแล้ว

นางสุวรรณา วรรณโฆษิต อายุ 50 ปี แม่ค้าขายของชำในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของ น.ส.เสาวณีย์ เล่าว่า ปกติไม่ค่อยเห็นหน้า นานๆจะมาซื้อของ ไม่ค่อยมาสุงสิงกับใคร รู้เพียงว่าทำงานอยู่ในห้างชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีสาขาทั่วจังหวัดบุรีรัมย์ ในความรู้สึกส่วนตัว หากมีเงินเข้าบัญชีแบบนี้ จะไม่กล้าใช้ และจะโอนคืนกลับไปให้เจ้าของ ถ้าติดต่อมา หรืออาจจะเข้าแจ้งความเอาไว้ เพราะเงินที่มาไม่รู้ว่ามาจากไหน คิดว่าเป็นเรื่องอันตรายหากเป็นเงินผิดกฎหมาย