เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่หน้าสำนักงาน บช.ภ.3 พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พร้อม พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3 ในฐานะผบ.ศปอส.ภ.3 และ พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา ร่วมแถลงจับกุมเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ จับผู้ต้องหาประกอบด้วย นางสมศรี บุญเลี้ยง นายคงเดช งามขำ นางพรพมล สุขสมจิตต์ และ น.ส.เสาวลักษณ์ หล่อทอง ซึ่งเป็นคนจัดส่งบัญชีไปให้เครือข่ายที่ประเทศกัมพูชา ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้มี น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายซึ่งโทรศัพท์มาหลอกลวงผู้เสียหายจนหลงเชื่อและโอนเงินไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี น.ส.สมศรี หนึ่งในผู้ต้องหา เป็นเงิน 218,470 บาท จากการสืบสวนพบว่า คดีดังกล่าวเป็นการกระทำในลักษณะของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเริ่มต้นคนร้ายจะโทรฯ หาผู้เสียหายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่ง DHL (สาขาเชียงใหม่) แล้วบอกกับผู้เสียหายว่ามีสินค้าพวกพาสปอร์ต บัตรเอทีเอ็ม และเสื้อผ้า ที่จะส่งไปยังประเทศจีน ติดค้างอยู่ที่ด่านศุลกากร ไม่สามารถส่งไปยังปลายทางได้ ผู้เสียหายแจ้งกลับไปว่าไม่เคยมีการส่งสินค้าดังกล่าว แต่คนร้ายสร้างความน่าเชื่อถือโดยแนะนำว่า สามารถโอนสายเพื่อติดต่อแจ้งความกับตำรวจที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้

เมื่อโอนสายไปคนร้ายอีกคน แนะนำตัวว่าเป็นตำรวจ ยศ ร.ต.อ. เป็นร้อยเวรของ สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมระบุให้แอดไลน์ของ สภ.เมืองเชียงใหม่ จากนั้นก็มีพูดคุยกันผ่านไลน์ซึ่งเป็นไลน์ปลอม คนร้ายได้สอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย และแจ้งว่ามีส่วนพัวพันกับคดีฟอกเงิน ถ้าไม่อยากมีปัญหาจะให้ สำนักงาน ปปง. ตรวจสอบบัญชีของผู้เสียหาย ก่อนขอให้ผู้เสียหายแจ้งข้อมูลบัญชีทั้งหมดและยอดเงินในบัญชี ต่อมาคนร้ายส่งต่อให้คุยกับคนร้ายอีกคน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็น สารวัตร โดยมีกล่าวอ้างเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงิน และบอกว่าจะส่งบัญชีของผู้เสียหายให้ สำนักงาน ปปง. ตรวจสอบเรื่องการฟอกเงิน จากนั้นคนร้ายให้ผู้เสียหายโอนเงินทุกบัญชีที่ผู้เสียหายมี ไปยังธนาคารแห่งหนึ่ง ชื่อบัญชี น.ส.สมศรี เพื่อตรวจสอบว่าบัญชีตรงกันหรือไม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อว่า เป็นเจ้าหน้าที่จริงและเพื่อยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ จึงได้โอนไปยังบัญชีดังกล่าว ต่อมาผู้เสียหายเกิดความสงสัยจึงโทรฯ กลับไป ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้เข้าแจ้งความดังกล่าว

ด้าน พล.ต.ท.สมประสงค์ ผบช.ภ.3 เปิดเผยว่า พฤติกรรมของคนร้ายหลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาในบัญชีธนาคาร ขั้นแรกจะมีการโอนเงินต่อไปยังบัญชีธนาคารอื่น แล้วโอนต่อไปอีกบัญชี และสุดท้ายโอนเข้าบัญชีที่คนต่างด้าวเป็นเจ้าของบัญชีและอยู่ต่างประเทศ โดยดำเนินการโอนเงินในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้ยากต่อการติดตามเส้นทางการเงิน ซึ่งพบว่าบัญชีที่คนต่างด้าวเป็นเจ้าของนั้น มีเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท จากการตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า ยังมีผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงให้โอนเงินในลักษณะเดียวกันนี้อีก 4 รายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั้ง กรุงเทพฯ ชลบุรี และเชียงใหม่ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2.4 ล้านบาท จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อหากมีผู้โทรศัพท์แอบอ้างแบบเคสนี้อีก