เมื่อวันจันทร์ที่ 21 มี.ค. องค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารของออสเตรเลีย (ACMA) กำลังจะมีมาตรการใหม่ที่จะบังคับบริษัทในวงการอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มที่แต่เดิมยังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพื่อลดการแพร่ข่าวเท็จที่อาจก่อให้เกิดอันตรายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ 

แผนการวางมาตรการดังกล่าว เป็นการตอบรับรายงานของ ACMA ซึ่งระบุว่า มีอัตราส่วนของชาวออสเตรเลียที่บรรลุนิติภาวะแล้วจำนวน 4 ใน 5 รายที่เคยเจอข่าวเท็จเกี่ยวกับโรคโควิด-19 และชาวออสเตรเลียจำนวน 76% คิดว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ควรมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อลดทอนเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริง หรือชี้นำในทางที่ผิด ซึ่งมีการแชร์ออกไปเป็นจำนวนมากในโลกออนไลน์

กฎหมายใหม่นี้ถือว่าเป็นการร่วมมือกับภาคยุโรป ในความพยายามเพื่อป้องกันคอนเทนต์ออนไลน์ที่มีเนื้อหาในเชิงลบและบ่อนทำลาย ซึ่งมีกำหนดการที่จะบังคับใช้ในช่วงปลายปี 2565 ขณะที่ทางสหภาพยุโรปมีความต้องการมาตรการที่เข้มข้นกว่านี้ เพื่อหยุดยั้งข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน ซึ่งมาจากสื่อของทางการรัสเซียในระหว่างที่เกิดสถานการณ์วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน

มาตรการดังกล่าวยังเนื่องมาจาก นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อตต์ มอร์ริสัน ต้องเจอสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งในเดือนหน้า ซึ่งพรรคเสรีนิยมของเขายังคงมีคะแนนนิยมตามหลังพรรคแรงงานในโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชน

จากรายงานของ ACMA ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่จะได้รับข่าวสารที่บิดเบือนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ มีจุดเริ่มต้นจากคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาเน้นความสะเทือนอารมณ์ในกลุ่มส่วนตัวขนาดเล็ก จากนั้นก็โดนนำไปขยายความและเผยแพร่สู่วงกว้างโดยคนดังหรือผู้มีอิทธิพลบนสื่อออนไลน์จากหลายประเทศ หรือแม้กระทั่งกลายเป็นข่าวที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวต่าง ๆ

ในรายงานยังระบุว่า มีข้อมูลที่บิดเบือนต่าง ๆ ที่มีผู้เผยแพร่ออกไปโดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างกระแสด้านการเมืองหรือกระแสความขัดแย้งในสังคมที่พุ่งเป้าหมายมายังชาวออสเตรเลีย ดังที่เฟซบุ๊กเคยตามลบแคมเปญที่ให้ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับออสเตรเลียไปถึง 4 แคมเปญ ระหว่างปี 2562-2563 

นอกจากนี้ กลุ่มที่คอยปั่นกระแสข่าวต่าง ๆ มักจะชักชวนให้ผู้ใช้งานเข้าร่วมแพลตฟอร์มที่มีขนาดเล็กกว่าและมีมาตรการตรวจสอบที่ไม่เคร่งครัด เช่น เทเลแกรม ถ้าหากแพลตฟอร์มหลักเหล่านี้ไม่ยอมปฏิบัติตามแนวทางควบคุมเนื้อหาที่ปรากฏในแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็อาจทำให้ชุมชนของชาวออสเตรเลียตกอยู่ในความเสี่ยงต่ออันตรายยิ่งขึ้น

เครดิตภาพ : Reuters