ในวันที่ 15 กรกฎาคมปีนี้ ก็จะครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนคอมมิวนิสต์กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการทูตแบบเปลี่ยนโลกอย่างเห็นได้ชัดเลยนะครับ เรามารำลึกความหลังกันหน่อย เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วทุกอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นที่ 15 กรกฎาคม เลย แต่มันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น

ความสัมพันธ์ทางการทูตจีนกับอเมริกานั้น มันเริ่มจาก เกมการเมืองสงครามเย็น ในยุคนั้น ขณะที่อเมริกากำลังพัลวันสูญเสียกับสงครามเวียดนามและเห็นสหภาพโซเวียตขยายอำนาจอย่างมหาศาล ความพยายามจะจัดการโซเวียตของอเมริกานั้นมีมากล้นอย่างยิ่ง ขณะที่จีนนั้น ภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจขับไล่รัฐบาล พรรคก๊กมินตั๋ง ของนายพลเจียง ไคเชก ให้ต้องลี้ภัยไปตั้งรกรากที่ เกาะฟอร์โมซา หรือไต้หวันเดิม แม้อเมริกาจะพยายามปิดล้อมจีน แต่สงครามเกาหลีก็ทำให้กองทัพอเมริกาและชาติประชาธิปไตย และรัฐบาลเผด็จการทุนนิยมที่อเมริกาหนุนในช่วงนั้นต่างรู้แล้วว่า พลานุภาพของจีนแดงนั้นมหาศาลขนาดไหน และอย่าประมาทมังกรตัวนี้เด็ดขาด

จีนในยุคนั้น ไม่เหมือนจีนในยุคนี้ที่เกรงขามทรงพลังนะครับ จีนเป็นประเทศที่มีปัญหาแตกแยก เจอการคุกคามของตะวันตก เจอสนธิสัญญาอัปยศ ระบบฮ่องเต้โอรสสวรรค์ไม่ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลง ถึงปรับก็ไม่ทันการณ์ ประเทศแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถูกญี่ปุ่นรุกรานเพื่อจะล่าเมืองขึ้นเหมือนชาติมหาอำนาจอื่น ๆ ว่ากันว่าช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนจีนบางส่วน ติดป้ายห้ามคนจีนเข้า อนุญาตแต่ฝรั่งเท่านั้น

ความเจ็บปวดนี้ทำให้คนหนุ่มสาวลุกขึ้นสู้ ลุกขึ้นปฏิวัติ แต่กาลเวลาการต่อสู้ก็ยาวนาน จีนบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างมาก ด้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่หวังจะยุติสงครามกลางเมืองด้วยชัยชนะ จึงพยายามต่อสู้ พวกเขาเคยต้องถอยทัพอย่างน่าอดสู ค่อย ๆ สร้างพลัง ค่อย ๆ ชนะศึกจนสามารถยึดครองประเทศได้สำเร็จ ยุติความแตกแยกของชาติที่เกิดมานับร้อยปีได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีภายใต้การนำของ ประธานเหมา เจ๋อตุง กับนายกรัฐมนตรีคนซื่อ โจว เอินไหล จีนโดนปิดล้อมทางเศรษฐกิจต้องเก็บตัวปิดประเทศ มิตรก็มีเพียงโซเวียตที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกันนั้นคอยช่วยเหลือ

เหมา เจ๋อตุง เองดำเนินนโยบายผิดพลาดหลายอย่างทำให้เศรษฐกิจจีนวายวอด เขาจึงตัดสินใจกระชับอำนาจทำ การปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งมันคือการล่าแม่มด โดยมีเยาวชนเรดการ์ด ใส่ชุดแบบเหมา ท่องจำบทความที่เหมาเขียน ศรัทธาในพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างสุดจิตสุดใจ เหมาคือคนสำคัญที่สุดในชีวิต คนอื่นหากไม่รักเหมา ไม่ต้องออกจากประเทศนี้ไปนะครับ เขาไม่ไล่ แต่จับมาลงโทษอย่างรุนแรงโหดเหี้ยมมาก

เติ้ง เสี่ยวผิง แมวเก้าชีวิตซึ่งจะมีบทบาทในการเปิดประเทศจีน ก็ถูกขับไล่ไปทำงานในชนบท ลูกโดนจับโยนลงมาจากตึกพิการไปตลอดชีวิต พ่อของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นใหญ่ ก็ถูกขับไล่ไปด้วย ทำให้ เด็กหนุ่ม โดนไล่จากเมืองปักกิ่งไปอยู่ชนบท จากที่เคยดูพลุยิงฉลองวันชาติจีนในวันที่ 1 ตุลาคมเป็นประจำบนลานดาดฟ้าของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งถือเป็นสิทธิพิเศษของลูกท่านหลานเธอพรรคคอมมิวนิสต์จีนเด็กหนุ่มคนนี้ก็ถูกริบสิทธิไป

เวลาต่อมาเขาจะสะสมพละกำลังทางการเมืองตัวเองและกลับมาใหม่ ชื่อของชายคนนี้คือ สี จิ้นผิง นั่นเอง

เผื่อใครไม่รู้จัก แกเป็นประธานาธิบดีและอีกหลายตำแหน่งในจีนตอนนี้ คือ ผู้มีอำนาจสูงสุด คนจีนเผลอเรียกแกว่า ฮ่องเต้สี เป็นครั้งคราว ตัวสี จิ้นผิง ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่า ฉีกกฎธรรมเนียมที่ว่าประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย หรือ 10 ปีเท่านั้น (สมัยละ 5 ปี) แล้วก็ต้องให้คนอื่นเป็น แต่สีไม่สนครับ แกฉีกกฎที่เติ้ง เสี่ยวผิง คิดมา แล้วครองอำนาจไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเรื่องสี จิ้นผิง นี่ถ้ามีโอกาสจะมาคุยกันในโอกาสหน้านะครับ สนุกทีเดียว

ในช่วงวายป่วงของจีนตอนนั้น พวกเขาทะเลาะสหภาพโซเวียต โดยต่างมีปัญหากระทับกระทั่งกันที่ชายแดน จีนมองว่าโซเวียตเริ่มคุกคามครอบงำจีน ซึ่งที่หนอนโรงพักเขียนเกริ่นมาทั้งหมดนี้ ก็เข้าหลักนิยายสามก๊ก ที่ขงเบ้งบอกกับเล่าปี่ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ แบ่งจีนเป็นสามก๊กเลย ศัตรูของศัตรูคือมิตร

เมื่ออเมริกาเป็นศัตรูกับโซเวียต แล้วโซเวียตกับจีนไม่ถูกกัน จะมีอะไรดีไปกว่าการดึงจีนมาเป็นพวก ความพยายามจึงเริ่มขึ้น แต่มันไม่เหมือนคนเราจะคุยกันนัดพบได้นะครับ นี่มันเรื่องระดับโลก 2 ชาติที่ปกครองคนละระบบ ไม่มีช่องทางการสื่อสาร ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต จะนัดเจอกันได้อย่างไร ทุกอย่างต้อง ๆ ค่อยไปครับ

มันเริ่มจากเหตุการณ์ การแข่งขันกีฬาปิงปองที่ญี่ปุ่น ซึ่งนักกีฬาจีนเดินทางมาร่วมแข่งด้วย แม้จะปิดประเทศไปนาน แต่จีนก็ยังแกร่งอย่างมาก ระหว่างที่นักกีฬาจีนนั่งรถกลับนั้น เขาได้แวะรับนักกีฬาอเมริกาที่ตกรถกลับไปด้วย นักกีฬาจีนคนหนึ่งก็มีการมอบของให้นักกีฬาอเมริกันคนนั้น เป็นผ้าพันคอลายภูเขา วันต่อมานักกีฬาอเมริกามามอบของขวัญเป็นเสื้อที่มีตราวงบีเทิลส์ สุดยอดวงดนตรีของโลก พร้อมประโยคที่เขียนว่า Let it be ซึ่งเป็นชื่อเพลงและชื่ออัลบั้มสุดท้ายของบีเทิลส์ ซึ่งตอนนั้นยุบวงไปแล้วให้กับนักกีฬาจีนครับ

การฑูตปิงปอง

หลายคนอาจคิดว่ามันเป็น การเตี้ยม อะไรกันหรือเปล่า ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าเตี้ยมอะไรครับ นักกีฬาเขาก็มาแข่งขันกัน และการได้พบกับนักกีฬาจากอีกชาติ มันก็น่าตื่นตา เพราะ คนอเมริกันก็แปลกใจที่เจอคนจีน คนจีนก็แปลกใจที่เจอคนอเมริกัน ทั้งสองแตกต่างกันทุกอย่าง ยกเว้นเล่นกีฬาเหมือนกันคือ ปิงปอง

ฝ่ายการเมืองเห็นดังนั้นก็เห็นช่องจะขยับความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งจีนและอเมริกาต่างก็อยากคบหากันพอดี แต่จะปุ๊บปั๊บใจร้อนไม่ได้ทุกอย่างต้องค่อย ๆ ไป จึงมีการจัดกิจกรรมพิเศษ เชิญนักกีฬาปิงปองอเมริกาไปแข่งกับนักกีฬาปิงปองจีนที่แผ่นดินจีนกัน

โอ้โห! คราวนี้เรื่องใหญ่ นักกีฬาอเมริกา 15 คนเดินทางไป แล้วประเด็นคือ 2 ประเทศไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยหลังจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะเดินทางเข้าจีน ก็บินตรงไม่ได้ จะขอวีซ่าก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีสถานทูตให้ทำเรื่อง

นักกีฬาอเมริกันจึงต้องเดินทางไปญี่ปุ่น ให้สถานทูตขีดฆ่ากฎที่บอกว่าห้ามเดินทางเข้าออกจีนโดยเด็ดขาดทิ้งไป แล้วจึงไปฮ่องกง นั่งเรือไปเข้าจีนก่อนเดินทางไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เที่ยวชมดินแดนคอมมิวนิสต์กัน นับเป็นคนอเมริกันชุดแรกในรอบ 20 กว่าปีที่ไปจีน ในเวลาต่อมาแบบเรียนวิชารัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การทูตปิงปอง”

เรื่องราวของจีนและอเมริกากับการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตยังไม่จบ ยกยอดไปเขียนต่ออาทิตย์หน้านะครับ

สุดท้ายนี้สำหรับวันที่  24 มิถุนายน ครบรอบ 89 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ขอประชาธิปไตยจงเจริญ…

……………………………………………………………………..
คอลัมน์ : หนอนโรงพัก
โดย “ณัฐกมล ไชยสุวรรณ”
ขอบคุณภาพจาก : Pixabay,wikipidia