วันที่ 20 พ.ค. นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2565 เป็นการประชุมแบบ Hybrid ณ ห้องประชุม 134 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผ่านการประชุมออนไลน์ zoom cloud meeting พร้อมด้วย คณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมี นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมงทำหน้าที่เลขานุการการประชุม ว่า คณะกรรมการฯ ได้เสนอแผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2566-2570 และได้รับความเห็นชอบจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ให้ดำเนินการตามแผนเป็นฉบับแรกของประเทศเพื่อป้องกันและรองรับปัญหาการเปลี่ยนแปลงระนิเวศที่เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและประชาชนริมแม่น้ำโขง นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้อนุมัติ

ให้กรมประมงเดินหน้าขับเคลื่อน 8 โครงการ ดังนี้ 1.โครงการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างรายได้
2.โครงการส่งเสริมอาชีพประมง กิจกรรมพัฒนาศักยภาพเกษตรกร 3.โครงการธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วม 4.โครงการปล่อยปลาเอิน (ปลายี่สกไทย) คืนสู่แม่น้ำโขง 5.โครงการ “ประมงอาสาพาปลากลับบ้าน ในพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ” ด้วยชุดอุปกรณ์เพาะฟักแบบเคลื่อนที่ (Mobile hatchery) 6.กิจกรรมการติดตามผลจับสัตว์น้ำในแม่น้ำโขงและการศึกษาความชุกชุมและความหลากหลายสัตว์น้ำในแม่น้ำโขง ประเทศไทย (FADM) 7.กิจกรรมบริหารจัดการทรัพยากรประมงเชิงระบบนิเวศ (EAFM) ชุมชนประมงแม่น้ำโขง 8.โครงการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพระบบนิเวศแหล่งปลาหน้าวัดบริเวณแม่น้ำโขง

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า แม่น้ำโขงมีการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติจากภาวะระดับน้ำขึ้นน้ำลงแบบฉับพลันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ จึงมีมติมอบหมาย ฝ่ายเลขานุการฯดำเนินการศึกษาและนำเสนอระบบการติดตามและแจ้งข่าวสาร (Monitor & Information) เพื่อติดตามปัญหาการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขงที่กระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนลุ่มน้ำโขงและควรออกแบบระบบใหม่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต Next Normal และมอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ จัดการประชุมหารือเครือข่ายภาคประชาสังคมลุ่มน้ำโขงและหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำข้อเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขเสนอต่อคณะกรรมการฯ และรัฐมนตรีเกษตรฯ เพื่อพิจารณาเสนอในการประชุมประมงเอเปค (APEC) ในวาระที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยต้องไม่มีประเด็นการเมืองในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศมหาอำนาจมาเกี่ยวข้องในการสัมมนาดังกล่าว ซึ่งตัวแทนเครือข่ายลุ่มน้ำโขงภาคประชาสังคมและตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิเห็นด้วยเนื่องจากมีความพยายามโยงเรื่องการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาแม่น้ำโขงกับการเมืองระหว่างประเทศจนเกิดความเข้าใจผิดและเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของฝ่ายต่างๆ

นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบรายงานการจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นใน 8 จังหวัดริมน้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดเชียงราย และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์และขยายพลับพลึงธารที่พบในจังหวัดริมแม่น้ำโขง ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ เดือนกันยายน 2564 จนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นพืชน้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งเดิมพบแต่ในจังหวัดพังงาและระนอง รวมทั้งมอบหมายให้กรมประมง ติดตามตรวจสอบเครื่องมือประมงที่มีลักษณะเข้าข่ายเป็นเครื่องมือทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างรุนแรง ตลอดจนการส่งเสริมการเลี้ยงสาหร่ายเป็นอาหาร เวชสำอางและเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งสาหร่ายทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มยังช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย.