เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณว่า แบ่งออกเป็น 6 ยุทธศาสตร์และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2.ยุทธศาสตร์ด้านสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3.ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

นายองอาจ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาดูแล้วพบว่ายุทธศาสตร์ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุดคือ ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 759,861.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.9 ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐคำนึงถึงการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยเน้นไปที่แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 304,356.1 ล้านบาท รองลงมาคือ แผนงานยุทธศาสตร์สร้างหลักประกันทางสังคม 269,465.2 ล้านบาท และแผนงานยุทธศาสตร์สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา 81,269.0 ล้านบาท

ขณะที่แผนงานพื้นฐานด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์นี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,906.4 ล้านบาท รวมถึงแผนงานบูรณาการพัฒนา และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากได้งบประมาณ 1,474.3 ล้านบาท ส่วนที่ได้รับงบประมาณน้อยที่สุดในยุทธศาสตร์คือ แผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ได้รับเพียง 448.7 ล้านบาท เมื่อดูจากตัวเลขการจัดสรรงบประมาณ แสดงให้เห็นว่าภาครัฐยังไม่เห็นความสำคัญที่จะดูแลสังคมสูงวัยมากเท่าที่ควร ทั้งที่ความจริงแล้ว ภาครัฐควรเห็นความสำคัญมากกว่านี้ เพราะตัวเลขผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะผู้สูงวัยในสังคมชนบทที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง จึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงผู้สูงวัยที่มากขึ้น บนพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตด้วย.