สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ว่า จากกรณีกลุ่มผู้ประท้วงขับไล่รัฐบาลศรีลังกาบุกยึดบ้านพักของประธานาธิบดีโกตาพญา ราชปักษา และนายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห ในกรุงโคลัมโบ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อกดดันให้คณะผู้นำศรีลังกาลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการบริหารประเทศล้มเหลว ส่งผลให้เศรษฐกิจของศรีลังกา “ล่มสลายอย่างสิ้นเชิง” นั้น


แม้รัฐสภาของศรีลังกายืนยันว่า ราชปักษาจะลาออกในวันที่ 13 ก.ค. ส่วนวิกรมสิงเห “แสดงความจำนงขอลาออก” เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การที่ยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการจากบุคคลทั้งสอง ซึ่งไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ยังคงสร้างบรรยากาศไม่แน่นอนให้แก่ผู้ประท้วง และประกาศว่า จะยังคงยึดครองบ้านพักประจำตำแหน่งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีต่อไป จนกว่าทั้งสองคน “จะลงจากอำนาจอย่างแท้จริง” แม้ทหารและตำรวจพยายามกดดันอย่างหนัก เพื่อให้มวลชนสลายตัว


ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( ไอเอ็มเอฟ ) ออกแถลงการณ์ แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เพื่อให้การเจรจาเกี่ยวกับการขอรับความช่วยเหลือครั้งใหม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟเพิ่งส่งคณะทำงานเดินทางมายังศรีลังกา เมื่อต้นเดือนนี้ และกำหนดเงื่อนไขในเบื้องต้น ที่รวมถึงการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และการจัดการกับภาวะคอร์รัปชั่น


ขณะที่ นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวถึงวิกฤติการณ์ในศรีลังกา ระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการว่า มีความเชื่อมโยงกับการที่กองทัพรัสเซียปิดกั้นเส้นทางส่งออกธัญพืชจากทะเลดำ และทะเลอาซอฟ ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางอาหารไปทั่วโลก


อนึ่ง ธนาคารกลางศรีลังกาประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีก 100 จุด ขึ้นมาเป็น 15.50% และ 14.50% ตามลำดับ โดยเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุด นับตั้งแต่ปี 2544 เพื่อหวังควบคุมแรงกดดันมหาศาลจากวิกฤติเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศ หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติของศรีลังกา รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค ( ซีพีไอ ) เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 54.6% นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ดัชนีซีพีไอสูงกว่า 50%.

เครดิตภาพ : REUTERS