เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแฟนเพจเฟซบุ๊ก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ General Prawit Wongsuwon ได้โพสต์ข้อความ กล่าวถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่า  “พี่ป้อม” ผู้ “รักแม่และชอบชิม” รบหนักไม่เคยอยู่หลังลูกน้อง

หนังสือ “พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี” ซึ่งจัดทำขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 76 ปี ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติตั้งแต่ ชีวิตวัยเยาว์ ไลฟ์สไตล์ ช่วงเป็นนักเรียนเตรียมทหาร จนกระทั่งเข้ารับราชการทหาร และเข้าสู่การเป็นนักการเมือง หนังสือดังกล่าวจัดทำขึ้นจากน้องๆ ที่ทำงานด้วยกันมา ต้องการบันทึกเรื่องราวเบื้องลึก-เบื้องหลังชีวิตของพลเอกประวิตร ไว้เป็นหนังสือ

เนื้อหาระบุว่า “พี่ป้อม” เป็นทหารมาตลอดชีวิตจึงค่อนข้างเคยชินกับการใช้คำพูดที่ดูโผงผางเสียงดังทำให้ดูเสมือนเป็นคนดุหรือเข้มงวดในเวลาทำงาน แต่ถ้ามีโอกาสสัมผัสชีวิตส่วนตัวของท่านเมื่ออยู่นอกเวลางานแล้ว จะพบว่าเป็นคนอ่อนโยนอารมณ์ดี มีเมตตา ใครได้ใกล้ชิดจะรู้สึกสบายใจไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ใหญ่ ผู้น้อยผู้ใต้บังคับบัญชาและมักจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเป็นคนที่รักเพื่อนพ้อง ลูกน้อง มีความเป็นผู้นำ เสียสละและเป็นผู้ให้ อีกทั้งเป็นผู้ประสาน สิบทิศที่ทุกองค์การให้การยอมรับ

นอกจากนั้น ยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างที่สุด เป็นลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีอย่างยิ่ง รักครอบครัว รักเพื่อน รักลูกน้อง ชอบเล่นกีฬามันออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบทำบุญชื่นชอบในธรรมชาติ รักงานศิลปะ ชอบทำกับข้าว และมักหาอาหารอร่อยๆ ให้คนใกล้ชิดรับประทาน รวมทั้งมีสุนัขตัวโปรดเป็นเพื่อนเล่น แม้ปัจจุบันจะเข้ามาทำงานการเมือง ก็ไม่เคยเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานไปจากเดิม

หนังสือ ระบุว่า “พี่ป้อม” เกิดในครอบครัวทหาร มีคุณพ่อรับราชการเป็นนายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ คือ พลตรีประเสริฐ วงษ์สุวรรณ และคุณแม่สายสนี วงษ์สุวรรณ โดยพี่ป้อมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 4 คน เนื่องจากคุณพ่อมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ทำให้คุณแม่สายสนีต้องดูแลลูกๆ ด้วยการหารายได้เสริม จึงต้องขายอาหาร เช่น ข้าวแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มมัด กล้วยแขก และขนมอื่นๆ ซึ่ง “พี่ป้อม” ต้องทำหน้าที่นำอาหารไปขายหรือส่งให้ลูกค้าตามสถานที่ต่างๆ ทำหน้าที่ลูกชายคนโตของบ้านและพี่ของน้อง น้องจ่ายแล้วทำเป็นชื่อพี่ชายที่แสนดีมาตั้งแต่วัยเยาว์

“ไม่ว่าคุณแม่จะพูดกับพี่ป้อมอย่างไร หรือในเรื่องอะไรก็ตาม พี่ป้อมจะถือคำพูดของคุณแม่คำไหนเป็นคำนั้นแล้วจะเชื่อฟังและปฏิบัติทุกอย่างที่คุณแม่บอก และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พี่ป้อมเชื่อฟังคุณแม่อย่างยิ่ง ก็เพราะมาคุณแม่พูดเรื่องอะไรก็ตามก็มักจะถูกเสมอ สิ่งที่พร่ำสอนเสมอคือให้กตัญญูต่อชาติ ต่อแผ่นดิน ต่อพระมหากษัตริย์ และต่อผู้มีพระคุณ อีกทั้งยังสอนในเรื่องของความซื่อสัตย์เสียสละจริงใจต่อมิตรสหาย ไม่เอารีดเอาเปรียบคนอื่นให้รักครอบครัว โดยเฉพาะน้อง ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ”

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความกตัญญูและความรักที่มีต่อครอบครัวคือการที่คงความเป็นโสดมาถึงปัจจุบัน ซึ่งหลายคนเคยสงสัยว่าทำไมถึงไม่แต่งงาน ซึ่งคนใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่า เพราะพี่ป้อมเป็นห่วงว่าจะไม่มีคนดูแลคุณแม่ อดีตว่ากันว่าพี่ป้อมเคยมีแฟนที่เกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่พี่ป้อมเป็นห่วงคุณแม่ กลัวว่า จะไม่มีเวลาให้ท่านอย่างเต็มที่ ประกอบกับพี่ป้อมมีชีวิตกับลูกน้อง ตามแนวชายแดนตลอด ทำให้ต้องตัดใจจากการมีชีวิตคู่ มาใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่

ในหนังสือดังกล่าวยังพูดถึงความผูกพันระหว่าง 3 ป. โดยเฉพาะที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย ที่กองพันหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ได้มีนายทหารรุ่นน้องสองคนมาพักรวมกันอยู่ที่บ้าน โดยพี่ป้อมจะแนะนำสั่งสอนตลอดจนดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของน้องทั้งสองคนเป็นอย่างดี เป็นคนเข้าครัว ทำอาหารให้น้องทั้งสองคนทานเป็นประจำ ทำให้พี่น้องทั้งสามคนสนิทกันมาก มีความรักใคร่กลมเกลียว โดยยึดถือพี่ป้อมเป็นผู้ใหญ่ตลอดมา ซึ่งน้องสองคนนั้นคือพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง

หนังสือระบุยังระบุถึง “พี่คราม” นายปัฐวาท ศรีสุขวงศ์ เพื่อนนักเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่คบหากันมากกว่า 60 ปี อีกทั้งครอบครัววงษ์สุวรรณ และครอบครัวศรีสุขวงศ์ สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของการทำบุญที่ “พี่ป้อม” และ “พี่คราม” ต่างก็เดินทางสายบุญด้วยกันมาหลายสิบปี

“พี่ป้อมกับพี่ครามสนิทกันมาก เคยไปกินไปนอนที่บ้านในกองพล ปตอ.เป็นประจำ ไปเตะฟุตบอลด้วยกัน ลอกการบ้านกัน กินข้าวฝีมือคุณย่าหรือคุณแม่สายสนี พี่ป้อมถึงจะตัวเล็กแต่ใจนักเลง ไม่กลัวใคร และมีคุณพ่อเป็นนายทหาร ก็มักจะช่วยเหลือไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแก เมื่อพี่ป้อม มารับราชการทหาร ก็ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาหน่วยบ่อยมาก ในเรื่องสวัสดิการและเรื่องต่างๆ..”

ความผูกพันของเพื่อนทั้งสองคนนี้มีมากจริงๆ อย่างตอนที่พี่ครามป่วยจนเดินแทบไม่ได้ พี่ป้อมจะกุลีกุจอถามไถ่น้องๆ ว่ามีหมอเก่งๆ ที่ไหน แล้วก็รีบให้ไปติดต่อทันที และยังช่วยเหลือดูแลด้วยตัวเองจนอาการดีขึ้น สองคนนี้เขารักกันเหมือนพี่น้อง..

ในส่วนของไลฟ์สไตล์นั้น หนังสือระบุว่า พี่ป้อมเป็นคนที่มีวินัยดีมาก ตื่นแต่เช้าเวลา 04.00 น. วิ่งออกกำลังกาย จากนั้นก็จะอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหารเช้าเวลา 05.45 น. ทุกวันและก็จะเข้าที่ทำงานเพื่อทำงานทันที แม้ว่าปัจจุบันขณะดำรงตำแหน่งการเมือง แต่ก็ยังตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายเหมือนเดิม นอกจากนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นพี่ป้อมสายบุญ โดยคนใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่ต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตร คือ การถวายสังฆทานเป็นประจำและใส่บาตรทุกวันหรือหากวันใดที่ไม่สามารถทำด้วยตัวเอง ก็จะให้คนในบ้านดำเนินการแทน นอกจากนั้นยังเป็นคนที่รักธรรมชาติและศิลปะ

สำคัญเป็นคนที่สนใจในเรื่องอาหารการกิน ชอบหาอาหารอร่อยๆ ให้เพื่อนๆ น้องๆ ได้รับประทาน ร้านที่พี่ป้อมแนะนำการันตีเลยว่าอร่อยจริง ปกติแล้วก็เป็นคนทานง่าย ตอนเช้าจะทานประเภทโจ๊ก หรือข้าวต้ม หรือข้าวราดแกง ซึ่งคล้ายกับกับข้าวที่คุณแม่เคยทำให้ทานสมัยเด็กๆ และจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่โปรดปราน ชื่อ “ร้านรสเยี่ยม” อยู่แถวถนนมูล เมืองอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

นอกจากนั้นในวันสบายๆ อยู่บ้านก็จะใช้ชีวิตส่วนตัวอยู่ที่บ้านด้วยการแต่งตัวสบายๆ หยอกเล่นกับสุนัขตัวโปรดพันธุ์เชาเชา และด้วยความที่สุนัขพันธุ์เชาเชา มีขนยาวปุกปุย และไม่ถูกโฉลกกับอากาศร้อนในเมืองไทย พี่ป้อมถึงกับต้องติดเครื่องปรับอากาศให้ได้อยู่อย่างมีความสุข เรียกว่าพี่ป้อมใส่ใจในทุกเรื่องใส่ใจทุกสุขของลูกน้อง แม้ขนาดสุนัขก็ยังได้รับการใส่ใจขนาดนี้

ในส่วนของชีวิตช่วงศึกษาโรงเรียนเตรียมทหาร ด้วยความที่มีบุคลิกที่เป็นคนเมตตา ใจกว้างเสียสละ และเป็นเด็กกรุงเทพฯ จึงเป็นผู้ที่ดูแลเพื่อนพ้องตลอด หรือจะเรียกว่าหัวโจกก็ไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะวันหยุดก็จะพาเพื่อนๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดแต่ไม่ได้กลับบ้านมาพักผ่อนที่บ้านพัก คุณพ่อและคุณแม่ของพี่ป้อมจะคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้อิ่มหมีพีมันตลอดเวลา โดยพี่ป้อมจะชวนเพื่อนๆ มาเล่นฟุตบอล ในบางครั้งจะพาเพื่อนไปเล่นว่าวที่สนามหลวง และบางโอกาสก็ออกไปเที่ยวกันสนุกสนานแล้วกลับมานอนที่บ้านพล ปตอ. กัน

พี่ป้อมในฐานะทหารหนุ่ม เมื่อสำเร็จการศึกษาจาก รร.จปร. ได้ออกปฏิบัติงานสนามในพื้นที่ทุรกันดาร และมีปัญหาการก่อการร้าย โดยได้รับมอบภารกิจทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่บริเวณเทือกเขาภูพาน เขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้หมวดใหม่ ได้นำกำลังเข้าทำการลาดตระเวนหาข่าว ซุ่มโจมตี และปะทะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หลายครั้ง สามารถจับกุมและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมเอกสารสำคัญของผู้ก่อการร้ายได้เป็นจำนวนมาก

พื้นที่สำคัญที่ต้องการปฏิบัติภารกิจคือพื้นที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตอิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีการปะทะอย่างรุนแรง

“ในปี 2513-2517 พี่ป้อมอาสาเข้าปฏิบัติราชการสงครามในประเทศที่ 3 เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามภายนอกประเทศเข้ามาในประเทศไทย โดยเข้าไปรบที่ประเทศเวียดนาม เป็นเวลาประมาณ 1 ปีเศษ เรื่องนี้พี่ป้อมเล่าให้น้องๆ ที่จัดทำหนังสือเล่มนี้ฟัง ว่า

“ผมออกรบที่เวียดนามตอนนั้น เขาให้ไปประจำที่ไซ่ง่อน เข้าสังกัดในกองพลเสื้อดำ ที่มี พลเอก เสริม ณ นคร เป็นผู้บัญชาการกองพลในสมัยนั้น การจะได้เป็นทหารหากจะให้เติบโตก็ต้องผ่านประสบการณ์สงครามก่อน ช่วงนั้นรบกันหนักมาก ยิงกันทุกวัน บริเวณเส้นขนานที่ 17 ทหารฝ่ายเวียดกงวางกับระเบิดเยอะมากเลย น่าจะมีทหารไทยตายไปหลายร้อยคน”

จากนั้นในปี 2517 ถึง 2518 แล้วเรามอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจปราบปรามผู้ก่อการร้ายฯ อีกครั้ง ในพื้นที่อยู่บ้านห้วยโกร๋น อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ทำหน้าที่นายทหารฝ่ายยุทธการ กองพันหารราบเฉพาะกิจที่ 212

หรือหนังสือสรุปว่า พี่ป้อมได้ผ่านประสบการณ์การบที่ดุเดือดทั้งในและนอกประเทศด้วยความมุ่งมั่นเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นการรบในแบบหรือนอกแบบในฐานะนักรบนิรนาม พี่ป้อมจึงเป็นนายทหารมีประสบการณ์การรบมากที่สุดคนหนึ่ง ที่หลายคนยังไม่ทราบ ทำให้ได้รับความไว้วางใจในการดำรงตำแหน่งผู้กับหน่วยทหารระดับสูงต่อไป

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการบก พี่ป้อม เข้ารับตำแหน่งนายทหารฝ่ายยุทธการ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยเข้าปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศ หรือพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ด้านจังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2522 ถึงปี 2540 ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล และผู้จัดการกองกำลังบูรพา ได้นำหน่วยเข้าปะทะกับฝ่ายตรงข้ามและมีบางครั้งที่ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์การคับขันและเสี่ยงภัย เช่น ยุทธการบ้านหนองปรือ ยุทธการโนนหมากมุ่น เหตุการณ์บ้านหนองเอี่ยน เหตุการณ์บ้านโอบายเจือน เป็นต้น

“ก็หนัก หนักทั้งนั้น ไม่ต่างกัน พลาดไปก็คือตายในทุกพื้นที่ มันไม่มีใครเก่งหรือใครไม่เก่ง ผมยืนยันได้ มันขึ้นอยู่กับยุทธวิธี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น จะบอกว่าตรงนั้นน่ะ ตรงนี้ไม่หนัก ไม่มี หรือกำลังมากกำลังน้อยก็คือตายเหมือนกัน กระสุนมันก็ไม่ได้ถามว่าคุณชื่ออะไร แล้วจะปล่อยคุณ ช่วงที่ผมอยู่ชายแดนไทยกัมพูชา ก็สู้รบกันดุเดือดมาก..

.. ช่วงนั้นผมนอนชายแดนเลยนะ นอนกับลูกน้อง ผมไม่ได้อยู่ที่กองพัน ผมจะอยู่กับกองร้อยข้างหน้าตลอด ผมจะไม่อยู่ข้างหลัง ผมไปกับลูกน้องตลอด จะเดินเลาะชายแดนเดินตามจุดตรวจไปกับลูกน้อง ชีวิตชายแดน มันเป็นอาชีพของเรา และเป็นความภาคภูมิใจของเรา ในการทำงานเพื่อแผ่นดินเกิดอย่างแท้จริง ผมชอบอยู่ชายแดนมากนะ เพราะรู้สึกว่ามันอิสระดี” เป็นคำพูดของพี่ป้อมที่ถ่ายทอดให้น้องๆ ฟัง

ขอบคุณเพจ

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ General Prawit Wongsuwon