นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นแอลพีจี ที่ 19.9833 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพื่อให้ราคาขายปลีกแอลพีจี อยู่ที่ประมาณ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-31 ธ.ค. 65 ซึ่งการดำเนินการปรับราคาก๊าซแอลพีจีครั้งนี้ จะช่วยลดผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน

อย่างไรก็ตามการตรึงราคาครั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีภาระเพิ่มขึ้น และเกิดปัญหาการลักลอบจำหน่ายแอลพีจี LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และที่ประชุม กบง. จึงได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อพิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซแอลพีจีต่อไป

“จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศยูเครนและสหพันธรัฐรัสเซีย ส่งผลให้เกิดวิกฤติราคาพลังงานทั่วโลก ซึ่งกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ และค่าครองชีพของประชาชน โดยปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกยังคงผันผวน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG เพื่อพิจารณาแนวทางบรรเทาผลกระทบกับผู้ใช้ก๊าซ พบว่า ในเดือนกันยายน 2565 ถึงเดือนตุลาคม 2565 ราคา LPG ตลาดโลกลดลงประมาณ 69.40 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน หรือลดลง 11% จาก 644.65 สู่ระดับ 575.25 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ณ วันที่ 18 ต.ค.65 ในขณะที่ราคาขายปลีกในประเทศอยู่ที่ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ส่งผลต่อสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2565 มีฐานะกองทุนสุทธิ ติดลบ 126,690 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 84,126 ล้านบาท บัญชีก๊าซแอลพีจี ติดลบ 42,564 ล้านบาท”.