กรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.สอท.2 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง ผบก.สอท.1 ร่วมกันเปิดปฏิบัติการ “เด็ดปีกมังกร” จับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แล้วปรากฎพบหลักฐาน มีเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ยศ พ.ต.ท. และเจ้าหน้าที่ระดับล่าว ของกระทรวงแห่งหนึ่งให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ นำไปใช้ก่อเหตุ จนมีการสั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง สวป.สภ.อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ รายหนึ่ง ตามที่มีการนำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

สั่งตั้งกก.สอบ ‘สวป.อ่าวน้อย-จนท.พาณิชย์’ ขายข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (บช.ภ.7) พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางประธานคณะกรรมการสอบสวนฯมีคำสั่งให้ สวป.สภ.อ่าวน้อย ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ต้องดูว่า นอกจาก พ.ต.ท. คนดังกล่าว ใช้รหัสเฉพาะของเจ้าหน้าที่ตำรวจของตัวเองเข้าไปกดดูฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของผู้เสียหายเอาไปขายแล้ว ยังมีการใช้ รหัสเฉพาะของตำรวจนายอื่นเข้าไปกดด้วยหรือไม่ และเจ้าของรหัสนั้นรู้เห็นประการใด หากเกี่ยวข้องทาง บช.ภ.7 ต้องพิจารณาโทษกันต่อไป

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าพ.ต.ท. มีการกล่าวอ้างการให้ข้อมูลกับเพื่อน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์นั้น เป็นการนำไปใช้เพื่องานวิจัยในระดับปริญญาโทเท่านั้น ไม่ใช่การนำไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อมูลเหตุดังกล่าว เนื่องจากมีผลตอบแทนเป็นเงินโอนเข้าบัญชีวันละ 20,000 หรือเดือนละ 600,000 บาท