เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 6 ธ.ค. ที่ สน.ทองหล่อ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการเข้าแจ้งความกลับ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท กองสลากพลัส ที่กล่าวหาว่า ตนบุกรุกสำนักงานของกองสลากพลัส เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 64 

นายสันธนะ กล่าวว่า ตนเข้ามาสอบถามเนื่องจากทางผู้กล่าวหา มีการให้สัมภาษณ์ว่า พนักงานสอบสวน ได้มีการยื่นความเห็นสั่งฟ้องแล้ว และคดีนี้อยู่ในชั้นศาล จากการตรวจสอบพบว่า คดีดังกล่าวยังไม่มีการตั้งเลขคดี เนื่องจาก พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐาน ส่วนที่ตนได้เคยแจ้งความ ในข้อหาหมิ่นประมาทกับนอท ขอยืนยันว่าไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายเหมือนที่นอทได้แจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท เพราะตนตั้งใจให้นอทเข้าไปรับความผิดในคุก

นายสันธนะ กล่าวว่า ค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ที่เรียกมาตนยินดีจ่าย 100 บาท และให้นอท นำเงินนี้ไปซื้อยานอนหลับเพื่อเอาไปฝันต่อ เพราะคำร้องที่นอท ยื่นฟ้องมามีเพียง 1 หน้ากระดาษ เหมือนเพียงเป็นการเล่นสนุกกับศาล กับ กระบวนการยุติธรรม สำหรับที่ นายนอท อ้างว่า ตนเองบุกรุก ยืนยันว่าตนเองเดินทางไปที่สำนักงานเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 64 เพื่อพูดคุยเนื่องจากสนใจร่วมลงทุน เพราะเห็นว่านายนอท ขายสลากออนไลน์ในราคา 80 บาทได้จริง ตนเองจึงสนใจเพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งการพูดคุยเป็นไปได้ด้วยดี ก่อนที่ตนเองจะเดินทางไปอีกครั้งในวันที่ 14 มิ.ย.64 ก็พบว่ามีความผิดปกติในการดำเนินธุรกิจ จึงเป็นที่มาตามภาพวงจรปิด และตนเข้าไปอีกครั้งในช่วงเดือน เม.ย. 65 และตนเองก็พบความผิดปกติ จึงเดินทางมาลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.ทองหล่อ

ทั้งนี้ จึงเป็นที่มาของการที่ตนเริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลของบริษัทนายนอท ที่พบว่ามีผิดปกติเกี่ยวกับงบดุลและการเสียภาษี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานยื่นให้กับกรมสรรพากร แล้วอยากฝากถึงนายนอทว่า หากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาทกับตนเองได้ก็ขอให้ไปเสียภาษีทั่วประเทศชาติ

สำหรับกรณีของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ผ่านมาตนได้ยื่นหนังสือถึง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือ ปปง. เนื่องจากเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของตนเอง หรือเสียหายโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่นายชูวิทย์มีพฤติกรรมทำให้เกิดความเสียหายต่อสถานที่ราชการ อย่างรัฐสภา และอีกประเด็นคือ

นายสันธนะ กล่าวว่า การที่ นายชูวิทย์ มีข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของตนเองและบุคคลอื่นๆ ก่อนนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เรื่องนี้ทำให้คนที่ทำธุรกิจอาจได้รับความเสียหาย และกังวลต่อการทำธุรกิจต่อไป จึงอยากให้ ปปง.ตรวจสอบ เพราะหากบุคคลอย่างนายชูวิทย์ สามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินของคนอื่นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมี ปปง. ปล่อยให้นายชูวิทย์ตรวจสอบก็พอ.