เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ถนนวิภาวดีฯ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร. เรียกประชุมข้าราชการในสังกัด บก.จร. โดยใช้เวลาการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง

พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทาง พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้จเรตำรวจดำเนินการเรียบร้อยแล้ว วันนี้จึงมาติดตามเรื่องการบริหารงานภายใน ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ส่วนเรื่องการให้ปากคำของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนนั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการจเรตำรวจชุดใหญ่ต้องเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนประเด็นการที่ผู้ใต้บังคับบัญชานำรถส่วนตัวไปหารายได้พิเศษนั้น ก็ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาไปตรวจดูว่าบกพร่องอะไรหรือไม่อย่างไร ส่วนเรื่องนายหน้าที่ว่าจ้างตำรวจให้ไปทำงานพิเศษนั้น ก็มีคณะทำงานคอยติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว ทาง ผบ.ตร. ได้สั่งการในเรื่องนี้แล้ว

พล.ต.ท.ธิติ กล่าวอีกว่า ในกรณีที่ประชาชนตั้งคำถามเรื่องการใช้รถนำขบวน และบางครั้งก็ไม่ยอมหลบให้ เกรงว่าจะเป็นการใช้รถส่วนตัวนั้น หากพบว่ามีความผิดปกติก็สามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบได้ ซึ่งทั้งหมดมีระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติอยู่แล้ว ใครทำผิดในส่วนนี้ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนรถนำขบวนนั้น ไม่ได้มีเฉพาะ บช.น.เพียงที่เดียว ตำรวจท่องเที่ยวหรือ ตำรวจท้องที่ก็มีเช่นกัน แต่ถ้าหากทำผิดระเบียบก็ต้องถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เจ้าหน้าที่ที่บกพร่องก็ต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพราะทำให้เสียภาพลักษณ์องค์กร

พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่นำรถส่วนตัวไปติดสัญญาณไฟ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายทุกกรณี ทั้งทางวินัยและทางอาญา หากมองว่าเป็นการทำเพื่อเลี้ยงปากท้อง ส่วนตัวมองว่า มีเบี้ยเลี้ยง มีเงินเดือน และยังมีทางอื่นที่ดี ที่ควรปฏิบัติดีกว่านี้ ซึ่งวิธีนี้ไม่เหมาะสม หลังจากนี้หากมีการกระทำผิดอีกก็ต้องลงโทษผู้บังคับบัญชา ซึ่งในกรณีนี้ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบผู้บังคับบัญชาแล้วว่าใครจะต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบบ้าง

พบ ‘ด.ต.’ เอี่ยวรถนำขบวนเพิ่มอีก 1 สั่งฟันอาญาดัดแปลงรถส่วนตัว

ด้าน พล.ต.ต.สุวิชชา กล่าวว่า ในส่วนความผิดนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการจเรตำรวจ ซึ่งต้องรวบรวมการสอบสวนจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่าย จเรตำรวจ บก.จร. และตำรวจท่องเที่ยว เพื่อนำมารวมกัน และพิจารณาหากมีความผิดทั้งทางวินัย และ ทางอาญาก็จะต้องลงโทษตามกฎหมาย ส่วนกรณีรถนำขบวน ได้กำชับทุกภาคส่วนที่มีรถนำขบวนแล้วว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

พล.ต.ต.สุวิชชา กล่าวอีกว่า กรณีนายตำรวจที่ขับรถยนต์นำขบวนที่มีรายงานว่าถูกส่งตัวกลับมาที่ จราจรโครงการพระราชดำริแล้ว แต่ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าขาดราชการหรือไม่นั้น ในส่วนนี้ได้ประชุมหารือพร้อมกำชับให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบข้อเท็จจริง และรายงานให้ทราบแล้ว อีกทั้งกรณีที่มีการกล่าวพาดพิงถึงบุคคลที่สามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ้างเจ้าหน้าที่นั้น ก็จะต้องดำเนินการเชิญตัวมาสอบปากคำเพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏ

พล.ต.ต.สุวิชชา กล่าวว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกภาคส่วน ไม่ให้ทำผิดทั้งทางกฎหมาย ทางวินัย และทางอาญา หากมีก็จะลงโทษโดยเด็ดขาด.