เมื่อวันที่ 4 ก.พ. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. (PCT) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.PCT ชุดปฏิบัติการที่ 5 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจับกุม นายพงศกร  อายุ 43 ปี ชาวสมุทรปราการ ผู้ต้องหาตาม 3 หมายจับ ของศาลแขวงเชียงใหม่ที่ จ.407/2561 ลงวันที่ 16 ต.ค. 61 ข้อหา “ยักยอกทรัพย์” และหมายจับศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ จ.90/2563 ข้อหา “ฉ้อโกง” และศาลอาญาที่ 35/2566 ลงวันที่ 2 ก.พ. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ” ได้ที่บริเวณหน้าร้านกิมฮุง ร้านทอง ถนนสุขุมวิท ต.สำโรงเหนือ พื้นที่ จ.สมุทรปราการ ต่อเนื่องห้องพักคอนโดฯ ย่านสุขุมวิท 13 พื้นที่ จ.สมุทรปราการ พร้อมยึดของกลาง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง (พบข้อมูลภาพผู้เสียหายเปลือยที่คนร้ายใช้แบล็กเมล์), สมุดจดบันทึก จำนวน 6 เล่ม (พบข้อมูลการจดลักษณะนิสัยของเหยื่อ), บัตร ATM จำนวน 12 ใบ, สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 17 เล่ม, ซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 16 ซิม และเอกสารการทำธุรกรรมการเงินจำนวนมาก

สืบเนื่องจากมีหญิงสาวผู้เสียหายลักษณะป่วยซึมเศร้า เข้าขอความช่วยเหลือกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ว่า ถูกคนร้ายอ้างชื่อว่านายธเนศ (ไม่ทราบนามสกุล) ชื่อเล่นทอม โดยรู้จักผ่านแอพหาคู๋ Bumble และใช้รูปหนุ่มหล่อโปร์ไฟล์ดี ชอบทำบุญ เพื่อหลอกเหยื่อให้หลงรัก จากนั้นเมื่อเริ่มสนทนาหว่านล้อม จนรู้ว่าผู้เสียหายมีอาการป่วยซึมเศร้า ก็ได้สร้างเรื่องหลอกโดยใช้เทคนิคการคุยว่า “หากจะคบกันเป็นแฟนต้องไปหลับนอนกับ “พ่อ” คนของตนก่อน ไม่งั้นจะเลิกคบ” เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้นัดพบเจอกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่สมุทรปราการ แต่แท้จริงคนที่ผู้เสียหายไปพบก็คือผู้ต้องหา ซึ่งทราบว่าใบหน้าของตนกับรูปโปรไฟล์นั้น ไม่ตรงกัน ถึงหลอกว่าให้มาพบพ่อ เป็นจำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่ระหว่างวันที่ (6 ม.ค.-19 ม.ค. 66) จากนั้นคนร้ายได้หลอกให้ลงทุน Money Exchange และผู้เสียหายได้โอนเงินไปให้กับคนร้ายหลายครั้ง รวมถึงได้หลอกให้เอารถไปขาย เพื่อโอนเงินให้อีกรวมเป็นเงินกว่า 1 ล้านห้าแสนบาท

ต่อมา ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าชุด PCT 5 สืบสวนจนทราบว่า เหยื่อมีอาการคิดฆ่าตัวตาย จึงเชื่อว่า ผู้เสียหายอาจจะไม่ได้ถูกหลอกลวงทั่วไปหรือมีการแบล็กเมล์ และคนร้ายใช้วิธีเชิงบังคับ เนื่องจากผู้เสียหายยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วยถึง 4 ครั้ง จากการสืบสวนจึงทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุคือ นายพงศกร  อายุ 43 ปี อดีตเคยเป็นทนายความในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และถูกถอนใบอนุญาต เนื่องจากไปพัวพันเรื่องผิดกฎหมายเกี่ยวกับชาวต่างชาติ ต่อมาเจ้าหน้าที่แจ้งรวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกง กระทั่งไปติดตามจับกลุ่มตัวไว้ได้ ในพื้นที่สมุทรปราการ 

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า เคยก่อเหตุตั้งแต่ปี 49 จนถึงปัจจุบัน รวม 6 คดี และเคยถูกจับและมีหมายจับติดตัวอีก 2 หมาย แต่ได้ตัดกำไร EM หลบหนีประกันศาล ส่วนคดีประกอบด้วย

1.วันที่ 15 พ.ย. 49 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “พ.ร.บ.เช็ค” พื้นที่ สภ.เมืองนครปฐม

2.วันที่ 21 มิ.ย. 50 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ลักทรัพย์” พื้นที่ สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ

3.วันที่ 15 พ.ค. 61 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ยักยอกทรัพย์” พื้นที่ สภ.แม่ปิง จ.เชียงใหม่

4.วันที่ 1 พ.ค. 63 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์

5.วันที่ 30 ม.ค. 65 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” พื้นที่ สน.ตลิ่งชัน

6.วันที่ 29 พ.ค. 65 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ฉ้อโกงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” พื้นที่ สน.สมเด็จเจ้าพระยา

จากการสอบสวน นายพงศกร ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้การว่า ตนเองจบการศึกษานิติศาสตร์ และเนติบัณฑิตไทย และเคยมีอาชีพเป็นทนายความ เป็นเจ้าของเปิดสำนักงานทนายความอยู่ที่ จ.ชลบุรี แต่ตนได้เข้าไปพัวพันกับกลุ่มชาวต่างชาติ สัญชาติออสเตรเลีย ที่กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด จึงทำให้ไม่ได้เป็นทนาย โดยช่วงที่ผ่านมาได้ใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ เพราะได้หนีการประกันตัวชั้นศาล โดยได้แอบถอดกำไรข้อเท้าทิ้งไปแล้ว โดยในคดีนี้ตนยืนยันว่าตนเองไม่ได้ลงมือข่มขืนผู้เสียหาย และไม่ได้มีการแบล็กเมล์แต่อย่างใด โดยอ้างว่าหญิงผู้เสียหายเป็นฝ่ายยินยอม โดยอ้างว่าเมื่อนัดพบกันแล้วและใบหน้าไม่เหมือนโปรไฟล์นั้น หญิงผู้เสียหายไม่ได้ว่าอะไร เพราะคุยกันเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้ฉ้อโกง แต่เป็นการขอยืมเงิน โดยอ้างว่ายังติดหนี้หญิงผู้เสียหายอยู่แค่ 500,000 บาท แต่เอาเงินไปเล่นการพนันออนไลน์จนหมดแล้วจึงไม่มีคืน

ส่วนที่ภายในห้องพบสมุดบัญชีและซิมโทรศัพท์จำนวนมากนั้น เป็นของคนรู้จัก ไม่ได้มีการทำผิดกฎหมายใดๆ ส่วนภาพผู้เสียหายในเครื่องโทรศัพท์นั้นเป็นการเอามาจากเว็บไซต์ และเป็นการแลก Call เสียวกันโดยเต็มใจทั้งสองฝ่าย ยืนยันว่าไม่ได้มีการนำภาพมาแบล็กเมล์แต่อย่างใด ส่วนคดีอื่นๆ ที่ยังค้างอยู่เยอะนั้นตนเองไม่ทราบ

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เพราะจากพยานหลักฐานได้วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ต้องหา ประกอบกับภาพในโทรศัพท์ของผู้ต้องหานั้น เป็นภาพการวิดีโอคอลลักษณะที่ฝ่ายหญิงผู้เสียหาย เป็นฝ่ายเปิดภาพกล้องฝ่ายเดียว ในสภาพเปลือยกาย ส่วนฝ่ายคนร้ายนั้นไม่มีการเปิดกล้อง เป็นเช่นนี้จำนวนหลายภาพ รูปแบบและเทคนิคการฉ้อโกงที่น่ากลัว และพยานหลักฐานที่พบสมุดจดในห้องนั้น มีการวิเคราะห์จุดอ่อนของเหยื่อไว้ด้วย คนร้ายในคดีนี้จึงถือเป็นภัยต่อสังคมอย่างยิ่ง มีจิตวิทยาสูง อาศัยความเชื่อเหยื่อในการดูดวง ตนจะไม่ยอมให้คนเหล่านี้อยู่ร่วมในสังคมกับประชาชนทั่วไปได้ เพราะการกระทำเยี่ยงนี้สามารถทำลายชีวิตคนให้ตายทั้งเป็นได้เลย และขอเตือนภัยไปยังกลุ่มผู้ใช้แอพพลิเคชั่นหาคู่เหล่านี้ ล่าสุดเราพบข้อมูลในโทรศัพท์ของคนร้าย ยังคงมี User ออนไลน์ไว้ในระบบแอพหาคู่ชื่อดัง 2 แอพพลิเคชั่น โดยใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า “Tom” โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นหนุ่มหล่อ ให้ลองตรวจสอบโดยเร็ว หากผู้ใดได้รับความเสียหาย ถูกหลอกลวงไปแล้วหรือกำลังจะหลงเชื่อ สามารถขอคำปรึกษาได้ทางเพจเฟซบุ๊ก สืบสวนนครบาล IDMB ได้ตลอด 24 ชม.