เมื่อวันที่ 13 ก.พ. พระราชวัชรธรรมภาณี เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี ได้มอบหมายให้ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วยผู้อำนวยการสำนักพุทธ จ.นนทบุรี และนายอำเภอปากเกร็ด ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีเกิดข้อพิพาทยืดเยื้อ ในพื้นที่เขตกัมมัฏฐาน ด้านหลังวัด โดยมีญาติโยม และพระลูกวัด รวมไปถึงพระสุจินตนินท สุภกโรหัวหน้าเขตกัมมัฏฐาน ที่ออกมาคัดค้านการพัฒนาวัด ร่วมฟังการแถลงข่าว

โดยทนายอนันต์ กล่าวว่า วัดชลประทานฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงพัฒนาวัด ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 62 ที่เห็นชอบจัดประชุมโครงการวัดประชารัฐสร้างสุข โดยเนื้อที่ทั้งหมดของวัดมี 59 ไร่เศษ แบ่งเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตพุทธานุภาพ เขตธรรมมานุภาพ รวมเนื้อที่ 37 ไร่ ได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขตสังฆานุภาพ หรือเขตกัมมัฏฐาน มีเนื้อที่ 22 ไร่ พบว่า อยู่ในสภาพทรุดโทรม สมควรที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น แต่กลับมีพระสงฆ์ 36 รูป แยกตัวเป็นเอกเทศ ไม่ร่วมสังฆกรรมกับวัด เกิดความไม่พอใจ เพราะเสียผลประโยชน์จากการเก็บเงินปัจจัยค่าสวดอัฐิจากญาติโยม จึงออกมารวมตัวกับฆราวาสบางส่วน คัดค้านการพัฒนาวัด รวมถึงยังบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ ยืนยันว่า ได้มีการย้ายมาปลูกที่บริเวณหน้าวัดแล้ว

ทนายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้เจ้าอาวาสวัด ได้ออกคำสั่งให้พระลูกวัดทั้ง 36 รูป ออกจากเขตสังฆานุภาพ หรือเขตกัมมัฏฐาน ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันนี้ (13 ก.พ.) หากขัดขืนจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมายต่อไป

ด้านพระสุจินตนินท สุภกโร หัวหน้าเขตกัมมัฏฐาน เปิดเผยภายหลังร่วมฟังการแถลงข่าวว่า ข้อกล่าวหาที่อ้างว่าพระลูกวัดไม่ยอมย้ายออก เพราะเสียผลประโยชน์ ทั้งจากเงินปัจจัยจากญาติโยม สีกา และยาเสพติด ล้วนไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาพระลูกวัดเพียงแค่พยายามปกป้องรักษาเจตนารมณ์ของหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาส ที่ให้ยึดหลักความสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เท่านั้น ซึ่งหากคำสั่งให้ย้ายออกภายใน 30 วัน มีการลงนามชื่อเจ้าอาวาสอย่างชัดเจน ทางพระลูกวัดก็จะยอมย้ายออกแต่โดยดี

ทั้งนี้ ทางวัดชลประทานฯ ได้จัดเตรียมกุฏิไว้รองรับพระลูกวัดที่ต้องย้ายออกจากเขตกัมมัฏฐานทั้งหมดไว้แล้ว รวมถึงยังได้จัดสร้างช่องเก็บอัฐิของญาติโยม ไว้ที่บริเวณกำแพงวัด ซึ่งมีกุญแจล็อกอย่างดี ญาติที่ประสงค์จะย้ายอัฐิ สามารถโทรศัพท์ติดต่อวัดชลประทานฯ ได้.