ส่วนฝ่ายที่ไม่ชอบบิ๊กตู่ ก็ว่า เป็นการชี้แจงที่เหมือนไม่ได้ชี้แจง คือพูดพร่ำซ้ำซาก เรื่องความเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ยอมให้มีกลุ่มทุนต่างชาติไม่ชอบธรรมในเมืองไทย ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่จะพูด ใครมันจะบอก…ที่ฝ่ายค้านกล่าวหามาผมยอมรับครับ..แบบนั้นได้พังทั้งคนทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กันบ้าง

แต่ก็พึงระลึกไว้ว่า อภิปรายอะไรแนว ๆ นี้ (โดยเฉพาะไม่ไว้วางใจ) มันเป็นการหวังผลการเมืองทั้งนั้น บางข้อมูลก็แพะแกะชนกันมั่วไปหมด หรือพยายามโยงให้เกี่ยวข้องให้ได้ อย่างเรื่องที่ตั้งพรรค รทสช. ซึ่งระดับนักกฎหมายอย่าง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ หัวหน้าพรรค รทสช. คงไม่ “จงใจ” ไปเช่าที่สีเทา ๆ หรอก

สัปดาห์นี้ก็จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่จะมีประชุมสภา ก็นั่งรอดูสภาล่มส่งท้ายประชุมได้ เพราะดูเหมือนไม่มีใครมีอารมณ์จะมาประชุมแล้ว กฎหมายก็พิจารณาไปแบบต๊ะตอนยอน คือ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่ไม่เสร็จแน่ ๆ ในสมัยรัฐบาลนี้ และกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่ไม่รู้ว่าเอาจริงชื่อจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องรอรัฐบาลหน้ายืนยันหรือปัดตก

ปี่กลองเลือกตั้งประโคมเต็มที่ จุดขายที่ประชาชนจดจำง่ายที่สุดคือ “ภาพลักษณ์ของแคนดิเดตนายกฯ” อย่างพรรคเพื่อไทย แม้ยังไม่ประกาศชัด แต่ดู ๆ ท่าทาง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีเครดิตดีที่สุด เพราะคนต่างจังหวัดโดยเฉพาะเหนือและอีสาน ก็ยังชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ พรรคก้าวไกล พยายามเลือกภาพคนรุ่นใหม่ ใส่ใจสิทธิมนุษยชน

พรรคภูมิใจไทย มาอารมณ์แบบ “เซราะกราว” (เขาว่าเป็นภาษาเขมร แปลว่า บ้านนอก) คือปรับบุคลิก “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค จากนักธุรกิจให้ดูเป็นพวกขาลุยแบบสบาย ๆ ทำตัวเกรียนได้ในบางโอกาส พรรคประชาธิปัตย์เสียอีกที่บุคลิก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ไม่ชัด แม้จะพยายามโปรโมตผลงานเพื่อเกษตรกร

มาพรรค รทสช. แน่นอนว่า “ถ้าไม่ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ บิ๊กตู่คงไม่มา” แต่ปัญหาการสื่อสารของพรรคคือ “บิ๊กตู่ไม่ปรับภาพลักษณ์” วิธีพูดวิธีอะไรดูเป็นพวกหัวโบราณอนุรักษนิยม ช่างสอน ช่างทวงบุญคุณ..ผมไม่เข้ามาประเทศจะเป็นอย่างไร..ไปจนถึงถูกบางคนวิจารณ์ว่า “ชอบชี้หน้าด่านักการเมืองว่าเลว ว่าโกงกิน เอื้อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง”

แต่ปัญหาคือ ตัวบิ๊กตู่เองก็ไม่ได้ว่าจะขว้างงูพ้นคอในเรื่องนี้ แม้เจ้าตัวจะอ้างว่า ครอบครัว (อันน่าจะประกอบด้วยภรรยาและลูกสาวฝาแฝด) ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับการเอื้อผลประโยชน์ แต่สิ่งที่ถูกตั้งข้อสังเกตมากคือกรณี หลานชายบิ๊กตู่ ลูกน้องชาย “บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” ส.ว. ที่ถูกอภิปรายพาดพิงมากในการอภิปราย ม.152

มีการพูดถึงว่า มีการตั้งบริษัทในค่ายทหาร มักจะได้รับสัมปทานโครงการรัฐ ธุรกิจโตก้าวกระโดดในสมัยลุง ฯลฯ ซึ่งมันก็เรื่องวิธีคิดของคนอีกล่ะ บางคนอาจมองว่า มีการเอื้อผลประโยชน์เพราะเป็นหลานนายกฯ คนที่ไม่คิดว่าเกี่ยวก็มี และตัวบิ๊กติ๊กเองก็ถูกจิกกัดว่าเป็นบิดาแห่งการลาประชุมมาก่อน แต่ก็ไม่เห็นพี่ตู่จะมีปฏิกิริยาอะไรกับน้อง

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่คนคาดหวังว่า “เครือญาติกันเอง ก็ต้องสอน ต้องทำให้ไม่มีข้อครหา” ไม่งั้นไอ้ที่ประกาศปาว ๆ ว่า ซื่อสัตย์สุจริตอย่างโน้นอย่างนี้ ก็มีคนงัดเรื่องเก่า เรื่องเดิมมาโต้ซ้ำได้เรื่อย ๆ จะปรับภาพลักษณ์ให้เป็นคนใจดี พูดจาหวานช่วงเลือกตั้งมันก็ดู..ไม่จริงใจ เพราะภาพของบิ๊กตู่ที่คนเห็นมาตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีว่าเป็นคนใจเย็น

การปรับภาพลักษณ์จำเป็นมาก แฟนคลับบิ๊กตู่น่ะมี แต่ไม่คิดว่า จะ “ขยายฐาน” เลยหรือ.