เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 15 มี.ค. พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 เปิดเผยถึงการเข้าจับกุม สารวัตรกานต์ ที่มีอาการคลุ้มคลั่ง ว่า เบื้องต้นได้ไปตรวจสอบอาการที่ รพ.ภูมิพล ผู้ก่อเหตุอยู่ในห้อง ICU และคาดว่าจะต้องผ่าตัด เนื่องจากพบว่ามีเลือดอยู่ในช่องท้อง ส่วนโดนยิงกี่นัดนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากแพทย์ยังไม่ให้เข้าดูอาการ แต่ในเบื้องต้นอาการค่อนข้างสาหัส วันนี้ได้มากำชับกับพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานในการตรวจที่เกิดเหตุ ทางบ้านที่เกิดเหตุ รวมถึงบ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชนบริเวณโดยรอบ ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะให้ทางพนักงานสอบสวนจดบันทึกเอาไว้ด้วย รวมถึงตรวจพิสูจน์หัวกระสุนและปลอกกระสุน ชิ้นไหนที่มาจากทางฝั่งผู้ก่อเหตุ และชิ้นไหนมาจากทางฝั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ รวมถึงตรวจสอบว่า เจ้าหน้าที่ชุดใด หน่วยงานไหน และใช้ปืนชนิดใดเข้าปฏิบัติการ

อย่างไรก็ตามในเบื้องต้น พบปืนเพียง 1 กระบอก เป็นปืนลูกโม่ แต่เรื่องเครื่องกระสุนยังไม่ยืนยันทั้งจำนวนและชนิด ต้องรอทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการปฏิบัติการในครั้งดังกล่าวนั้น ตั้งแต่เริ่มได้รับแจ้งเหตุ ผู้ก่อเหตุได้ยิงปืนออกมาไม่ต่ำกว่า 50-60 นัด โดยการปฏิบัติการนั้น เริ่มต้นจากการปิดล้อม ใช้แก๊สน้ำตา 2 ครั้ง โดยยังไม่ได้เข้าบ้านของผู้เกิดเหตุเลย และแต่ละครั้งก็ถูกยิงสวนออกมา จนมาถึงเมื่อเช้านี้ประมาณ 05.00 น. เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ได้ถูกยิงเข้าที่หมวกนิรภัย แต่ไม่ได้รับอันตราย

สำหรับการบุกจับกุมตัวที่เกิดขึ้นในช่วงเที่ยงนั้น สืบเนื่องจากช่วงดึกที่ผ่านมา ทีมแพทย์จากกรมสุขภาพจิต ได้ประเมินเบื้องต้นว่า สภาพจิตของผู้ก่อเหตุมีความเบี่ยงเบน จึงจำเป็นที่จะต้องมีการรักษาโดยเร็ว ซึ่งหากใช้วิธีเจรจาเพื่อให้ผู้ก่อเหตุมอบตัวนั้น อาจไม่ใช้เวลาเร็วแน่นอน รวมถึงเกรงว่า จะเป็นอันตรายกับบุคคลภายนอกด้วย ดังนั้นทางตำรวจจึงต้องบุกเพื่อควบคุมตัวนำส่งแพทย์โดยเร็ว

สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหานั้น ทางตำรวจอยู่ในระหว่างการสอบปากคำบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ รวมถึงการเก็บพยานหลักฐานอยู่

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุได้รับบาดเจ็บ ระหว่างที่มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ถูกกระสุนเข้าที่ข้อพับซ้าย, หน้าอกซ้าย/ขาท่อนบนซ้าย, ขาขวา, หน้าอก, หลัง รวม 6 จุด ส่วนเรื่องของกระสุนนั้น จะสามารถครอบครองได้เท่าไรนั้น กฎหมายไม่ได้ระบุจำนวนว่า สามารถครอบครองได้มากน้อยแค่ไหน แต่เครื่องกระสุนจะต้องตรงกับชนิดและขนาดของอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้

อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวน ยังไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ จนกว่าผู้ก่อเหตุจะต่อสู้คดี โดยผ่านการยืนยันจากแพทย์ ให้ตรวจสอบก่อน หากมีอาการทางจิตให้รักษาก่อน ขณะที่ตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานไปก่อน แต่ในเบื้องต้น ตั้งประเด็นในการสอบสวน ก่อนสอบปากคำผู้ก่อเหตุ คือ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่, ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่, ทำให้เสียทรัพย์, พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ยิงปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร.