จากกรณีวานนี้ (5 เม.ย.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.หญิง สไบนาง ศิริมนตรี รอง สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. แจ้งความเอาผิดแก่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. และขบวนการร่วมกันลักรถยนต์ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ ผู้กำกับโจ้ ในข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน, ร่วมกันรับของโจร, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม โดยนำหนังสือมอบอำนาจจาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ใบแต่งตั้งทนายความ สำเนาแชตไลน์ และสำเนาบันทึกประจำวัน สน.ตลิ่งชัน มอบให้พนักงานสอบสวนเป็นหลักฐาน ตามที่มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยถึงรายละเอียดจากรองเลขาธิการ ปปง. ว่า ต้องย้อนไปสมัยที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ถูกนำตัวเข้าเรือนจำฯ ทางทนายความ และแฟนสาวของผู้กำกับโจ้ ได้มาขอให้ตนช่วยนำรถที่มีอยู่ไปขาย เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายทางคดี ทนายจึงได้นำรถ กุญแจและเอกสารมาให้ตน ซึ่งในตอนนั้นทนายก็ได้ยืนยันว่า ผู้กำกับโจ้บอกว่า หากมีอะไรก็ให้สอบถามที่แฟนสาวของผู้กำกับโจ้ได้ เพราะแฟนสาวจะเป็นคนตัดสินใจ ตนจึงช่วยเหลือ โดยให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ บุตรชาย ไปวิ่งขายรถให้

จากนั้นเมื่อได้ราคามาเท่าไร ก็ให้แฟนสาวของผู้กำกับโจ้ไปตัดสินใจ และเมื่อแฟนสาวยืนยันขาย ตนก็ได้นำเงินให้แฟนสาวผู้กำกับโจ้ไป อย่างไรก็ตาม มันยังมีบางส่วนที่เป็นรถค้างไฟแนนซ์ เพราะค่างวดมันสูงเกินราคารถ ตนจึงติดต่อไฟแนนซ์ให้เขารับรถไปจัดการ แต่ตนขอว่า ถ้าหากขาดทุนอย่าไปฟ้องผู้กำกับโจ้ ซึ่งไฟแนนซ์ก็ยอมและได้นำรถที่ค้างไฟแนนซ์ไป ต่อมาสำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สิน (รถยนต์หรูกว่า 13 คัน ตามบัญชีฟ้อง) เป็นเหตุให้รถที่ขายไปแล้วนั้น ตนต้องควักเงินส่วนตัวไปคืนคนที่ซื้อรถไป จากนั้นก็นำรถมาเก็บไว้ระหว่างรอคำสั่งศาล ซึ่งปัจจุบันรถทั้งหมดก็ยังอยู่ระหว่างการถูกอายัด ยังอยู่ในประเทศไทย เพื่อรอคำสั่งศาลเด็ดขาด โดยถ้าหากศาลมีคำสั่งยึด ก็ต้องนำรถไปส่งให้กับศาล ดังนั้น ในเมื่อ ป.ป.ช. อายัดทั้งหมด ตนจะไปขโมยรถของผู้กำกับโจ้ทำไม

พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า ถ้าหากทางตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ออกหมายเรียกตนไปสอบถามในเรื่องดังกล่าวก็ยินดีไปให้การชี้แจงทุกประเด็น รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องก็ยินดีเข้าให้การเช่นกัน เช่น ทนายความของผู้กำกับโจ้ ซึ่งตนขอยืนวันว่า ไม่ได้ขโมยรถของอดีตผู้กำกับโจ้ตามที่ถูกพาดพิง เพราะต้องพูดตรงๆ ว่า ไม่ใช่ อยู่ดีๆ จะเดินไปขโมยรถได้และกุญแจรถ เอกสารต่างๆ ผู้ที่นำมาให้ก็เป็นนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของผู้กำกับโจ้เอง ซึ่งเราก็เชื่อเขา และยังถามทนายโชคชัยด้วยว่า ได้เอกสารมาอย่างไร ทางทนายก็ระบุว่า ได้นำไปให้ผู้กำกับโจ้เซ็นในเรือนจำ ซึ่งตรงนี้คือพยานหลักฐานสำคัญว่า เอกสารมีลายเซ็นของผู้กำกับโจ้ หากไม่มีลายเซ็น ใครจะไปกล้าทำธุรกรรม และตนจะไปปลอมเอกสารเพื่ออะไร

พล.ต.ต.เอกรักษ์ ยังเผยถึงกรณีที่บุตรชายถูกพาดพิงด้วยว่า ลูกชายตนมีหน้าที่แค่ช่วยขายรถให้ผู้กำกับโจ้เท่านั้น เพราะโดยปกติแล้วลูกชายขายรถมือสอง ขายรถเก่า ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ตนและลูกชายจะต้องปลอมลายเซ็นของผู้กำกับโจ้ นอกจากนี้ ในตอนนั้นเมื่อขายรถได้ เราก็นำเงินให้แฟนสาวของผู้กำกับโจ้ ซึ่งมีจำนวนไม่กี่แสนบาท เพราะที่เหลือมันติดไฟแนนซ์ โดยผู้กำกับโจ้จะต้องนำเงินไปจ่ายค่าทนายความ ก็ถือว่าเราก็ช่วยเขา และตนยืนยันว่า ไม่มีการร่วมมือร่วมหัวกันกับทนายความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอยากให้คิดตามความเป็นจริงว่า มันเป็นไปได้แค่ไหน ที่จู่ๆ จะไปขโมยรถของผู้กำกับโจ้ กว่า 13 คัน ไปขายโดยไม่รู้ไม่ชี้

ส่วนเรื่องรถ Ferrari (เฟอร์รารี) ไม่เกี่ยวกับตนเลย เพราะว่าไม่ได้ไปยุ่ง ซึ่งเท่าที่ตนรับฟังมา มีคนชื่อกี้พาลูกค้ามาซื้อดาวน์ เมื่อซื้อดาวน์เสร็จแล้ว ก็ไปเปลี่ยนสัญญาที่ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ปรากฏว่าเปลี่ยนสัญญาไม่ได้ คนซื้อจึงขอเงินดาวน์คืน และคาดว่าอาจจะตกลงกันไม่ได้ ทำให้พวกเขาไปแจ้งความกันที่ สน.ห้วยขวาง หลังจากนั้นผู้เช่าซื้อก็มาเอารถหนีไป ไม่มาที่ห้วยขวาง ทำให้ไฟแนนซ์ไปตามเจอรถและยึดรถไป

เมื่อถามว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ที่อดีตผู้กำกับโจ้ มอบหมายให้นายอัจฉริยะ มาร้องทุกข์กล่าวโทษตัวเองนั้น พล.ต.ต.เอกรักษ์ ยืนยันว่า ไม่เป็นไร ก็สู้คดีกันไป เพราะตนไม่ได้โกงเขา มีพยานเยอะแยะ อีกทั้งในตอนนั้นทนายความของโจ้ และแฟนสาวของเขา ก็มาร้องขอให้ช่วย ซึ่งตนก็ต้องเชื่อว่ามันเป็นความจริง ส่วนที่นายอัจฉริยะ มีการระบุว่า บุตรชายตนมีการโพสต์ขายรถของผู้กำกับโจ้ทางเฟซบุ๊ก มีการสวมป้ายทะเบียน หรือรวมถึงเรื่องรถเบนซ์นั้น ตนต้องเรียนว่า รถเบนซ์คันดังกล่าว ผู้กำกับโจ้ได้ยกให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไป และจนถึงตอนนี้ ผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ผ่อนอยู่ติดไฟแนนซ์ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ส่วนเรื่องป้ายทะเบียน ลูกชายตนขายอยู่แล้ว มันไม่ใช่ป้ายทะเบียนของผู้กำกับโจ้ เนื่องจากได้เอาไปคืนไฟแนนซ์ให้ทำสงวน จากนั้นไฟแนนซ์ก็คืนให้กับน้องสาวของผู้กำกับโจ้ ที่เหลือก็ติดอยู่กับรถที่ถูกอายัด ถอดไม่ได้ ตนจึงไม่ทราบว่า ผู้กำกับโจ้รู้หรือไม่ว่า ยังมีรถกว่าสิบคันถูกอายัดไว้อยู่

“จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อชื่อเสียงและครอบครัวได้รับผลกระทบ ตนจึงอยู่ระหว่างติดต่อทนายความให้ดำเนินการฟ้องนายอัจฉริยะ อย่างไรคงต้องคุยเรื่องรายละเอียดกับทนายอีกทีหนึ่งว่า จะฟ้องประการอะไรบ้าง และถ้านายอัจฉริยะจะฟ้องตน ก็พร้อมฟ้องกลับ ส่วนกรณีที่เลขาธิการ ปปง. ต้องการให้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร เกี่ยวกับประเด็นข้อครหาดังกล่าว ตนก็พร้อมทำหนังสือชี้แจงหากมีคำสั่ง ซึ่งทุกวันนี้ตนก็ยังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองเลขาธิการปกติ” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ระบุ

ส่วนเรื่องเงิน 6 ล้านบาทนั้น หากทางตำรวจสอบสวนกลางเรียกให้ตนเข้าไปชี้แจง ก็ยินดีเข้าไป ส่วนการสอบสวนไปถึงไหนแล้ว ตนก็ไม่ได้ติดตาม และยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ในวันที่มีการหิ้วถุงเงินกันนั้น ตนไม่ได้ไปที่สถานที่ดังกล่าว ตนยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ตำรวจภูธรภาค 6 แต่ตนได้แนะนำให้เขารู้จักกันตั้งแต่ต้นปี 2565 ส่วนเขาจะไปกันตอนไหน ตนไม่ทราบได้ อย่างไรก็ตาม ที่มีชื่อตนไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ก็เพราะว่าตนไปแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน ตนยังได้สอบถามไปยัง “ผู้การเปี๊ยก” หรือ “พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์” อยู่เลยว่า ทำไมถึงมีชื่อตนเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยผู้การเปี๊ยกบอกกับตนว่า ในวันนั้นนายชูวิทย์ถามว่า “ใครฝากมา” ผู้การเปี๊ยกจึงตอบกลับนายชูวิทย์ไปว่า “รองเอกรักษ์ฝากมา” จากนั้นนายชูวิทย์ถามว่า “รองเอกรักษ์คนไหน” ผู้การเปี๊ยกจึงบอกว่า “รองเอกรักษ์คดีผู้กำกับโจ้” จึงทำให้นายชูวิทย์จำได้ เรื่องก็มีเท่านี้

ทั้งนี้ ตนไม่ได้รู้จักสารวัตรซัว แต่ตนได้ฝากให้นายศักดิ์ไปคุยกับผู้การเปี๊ยก เนื่องจากมีรุ่นน้องอยากจะทำบุญ ลองคุยกันดู เขาเป็นแฟนคลับนายชูวิทย์ ส่วนจะเป็นเรื่องอาบ อบ นวด ชื่อ ลาลิซ่า หรือไม่ ตนไม่ทราบ ตนทราบเพียงว่า รุ่นน้องเขาอยากทำบุญ ส่วนประเด็นที่มีการลากทั้งครอบครัวตนไปพาดพิงนั้น ทราบว่ามีขบวนการเตะตัดขาเกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะมีคนต้องการให้ตนออกจากหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ส่วนจะเป็นใครตนไม่ทราบ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายจองล้างจองผลาญ จบเรื่องหนึ่งต่อเรื่องหนึ่ง เหมือนกับว่า หากตนไม่ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง. ก็จะมีการขุดเรื่องอื่นๆ ขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่ผ่านมา ตนไม่เคยมีปัญหากับใคร.