เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี  พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) พร้อมทีมงานเดินทางไปยัง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อขอคะแนนสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 6 เบอร์ 12 นายนเรศ เกสรินทร์ (รัตนบุรี) ที่มีคะแนนดีวันดีคืนจากผลสำรวจของพรรค

นายกรณ์ กล่าวว่า ช่วงนี้ตนเดินสายช่วยผู้สมัครภาคใต้ ตั้งแต่ จ.สุราษฎร์ฯ นครศรีธรรมราช แล้วไปต่อที่ จ.พัทลุง ภูเก็ต และชุมพร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้สมัครของเรามีการตอบรับที่ดีทั้งในอันดับที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมีคะแนนก็เบียดแบบหายใจรดต้นคอกันประมาณ 5-6 เขต เชื่อว่าผู้สมัครของเราอย่างน้อย 3-5 คน ต้องสามารถปักธงชัยที่ภาคใต้ได้อย่างแน่นอน ตนก็มาให้กำลังใจและขอให้เดินหาเสียงอย่างมีความสุข

“ประชาชนตอบรับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อปากท้องของเรา พวกเขาสะท้อนว่า อยากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาดูแลแก้ปัญหาให้กับเขา และค่อนข้างกังวลกับนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียภาษี ที่กลัวว่าการจะนำเงินภาษีของเขามาใช้แบบนี้ มันเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นสร้างโอกาสเราไม่เน้นลด  แลก  แจก  แถมหรือใช้งบประมาณภาษีแต่อย่างใด 

“การใช้เงินภาษีผมพูดเสมอว่าทำได้ ในยามวิกฤติแต่ในช่วงนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการ คือต่อยอดโอกาสในการทำมาค้าขายของเขา ถ้าเป็นเกษตรกร เขาก็อยากเห็นนโยบายที่ทำให้ ราคาพืชผลของเขาสูงขึ้น ทำให้เขามีชีวิตที่มั่นคงด้วยตัวเขาเองมากขึ้น” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว

ต่อมาในช่วงค่ำ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ขึ้นเวทีปราศรัยที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช โดยกล่าวกับพี่น้องประชาชนที่มาร่วมรับฟังเป็นจำนวนมากว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราไม่เสนอนโยบายประชานิยม เราเป็นพรรคที่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่าโอกาสนิยม คือสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนให้สามารถทำมาหากินได้ แข่งขันได้มีราคาพืชผลที่ดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐ นี่คือสิ่งที่ประชาชนเขาต้องการมากกว่า และเป็นชุดนโยบายที่เป็นธรรมกับประชาชนที่เป็นผู้เสียภาษีมากกว่า

นายกรณ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเอาเงินภาษีของพี่น้องประชาชน ไปเป็นเครื่องมือหาเสียงนำเสนอนโยบายเชิงประชานิยม ที่ตนต้องกล้าออกมาพูดตรง ๆ วันนี้ เพราะเชื่อว่า การเมืองแนวโน้มโอกาสที่จะมีการเปลี่ยนแปลงสูงมาก อยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงแบบไหน ตนและทีมงานอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจึงออกมาตั้งพรรค เพราะที่ผ่านมาเรามองว่า มันมีข้อบกพร่องในการบริหารจัดการประเทศในหลายเรื่องมาก โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ

นายกรณ์ กล่าวว่า วันนี้นโยบายที่ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ การที่พรรคใหญ่มีนโยบายแจกเงิน เงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าเงินใครก็อยากได้กันทั้งนั้น แต่เม็ดเงินโดยรวมที่จะแจกตามนโยบายที่ใช้หาเสียงนั้น คิดออกมาเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่มหาศาลถึง 5.4 แสนล้านบาท ซึ่งเยอะมาก มันจึงมีคำถามจากสังคมว่า จะไปเอาเงินจำนวนนี้มาจากไหน หลังจากที่อึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็ต้องถูกบังคับให้ตอบว่าก็คือเงินภาษีของพี่น้องประชาชน บวกกับเงินงบประมาณที่ต้องไปกู้มาแจก ซึ่งตนก็แสดงความเห็นชัดเจนว่า การแจกเงินแบบนี้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ ทำได้แต่ต้องเป็นช่วงวิกฤติ ตนเป็นคนเริ่มต้นแจกเงินเป็นคนแรกในปี 2552-2553 สมัยเป็น รมว.คลัง ช่วงนั้นเศรษฐกิจโลกกำลังประสบวิกฤติขนาดหนักที่เราเรียกว่า วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศไทยในฐานะเป็นประเทศค้าขาย ต่างชาติเขาไม่มาซื้อของเรา จึงมีความจำเป็นที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน

“ผมได้คิดวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการออกเช็คช่วยชาติ มูลค่า 2,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน โดยยิงตรงสู่กระเป๋าพี่น้องประชาชนแต่นั่นเป็นเพราะเราอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจริง และอีกวิกฤติคือโควิด รัฐบาลก็ได้แก้ปัญหาด้วยการแจก ผมก็สนับสนุน แต่วันนี้ไม่ใช่วิกฤติ การนำเงินมาแจกจึงไม่สมควร” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว