จากกรณี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. สั่งการให้ตำรวจ สอท. ระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและอาวุธสงคราม โดยปูพรมตรวจค้น 60 จุด ใน 42 จังหวัด จับกุมผู้ต้องหา 50 คน พร้อมของกลางอาวุธปืน 77 กระบอก ระเบิดปิงปอง 1 ลูก เครื่องกระสุนปืนชนิดต่างๆ รวม 2,440 นัด ซึ่งในจำนวนนี้มีคดีน่าสนใจรวมอยู่ด้วยคือ การจับกุม น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี อาชีพพยาบาล รพ.แห่งหนึ่ง และแฟนหนุ่มคือ นายบี (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี อาชีพวิศวกร ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, จำหน่ายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ตำรวจได้ขยายผลไปตรวจค้นในบ้านพักของทั้งคู่ย่านรามอินทรา ปรากฏว่าตรวจพบอาวุธปืนขนาดต่างๆ 19 กระบอก แบ่งเป็นปืนมีทะเบียน 17 กระบอก ในจำนวนนี้มีปืนของทหารที่ถูกนำมาจำนำ 1 กระบอก และปืนบีบีกัน อีก 2 กระบอก พร้อมกระสุนปืนกว่า 2,000 นัด รวมทั้งสิ้น 22 กระบอก ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติยังพบว่า พยาบาลสาวคนดังกล่าว ได้ซื้ออาวุธปืนสวัสดิการทั้งสิ้น 21 กระบอก ภายในปี 62-63 และต่อมาในปี 65 ซื้อเพิ่มอีก 1 กระบอก ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากจนผิดปกติ

โดยที่ น.ส.เอ ให้การอ้างว่า อาวุธปืนทั้งหมดเป็นของแฟนหนุ่ม ซึ่งเป็นวิศวกรช่างกล ได้นำชื่อตนเองไปซื้อ เพราะได้สิทธิสวัสดิการ แต่ไม่ทราบเรื่องการจำหน่ายสินค้า โดยแฟนหนุ่มได้ให้ตนเองนำไปส่งให้ โดยที่ไม่ทราบว่าข้างในเป็นอาวุธปืน

ซึ่งจากการตรวจสอบอาวุธปืนบางกระบอกพบว่า มีบางส่วนเป็นปืนบีบีกัน แต่มีการเปลี่ยนแปลงลำกล้อง ยกตัวอย่างเช่น ปืนขนาด .22 แต่มีการดัดแปลงลำกล้องเพื่อให้ใช้กับกระสุน M4 ได้ ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย เนื่องจากตามกฎหมายระบุ ประชาชนสามารถครอบครองอาวุธปืนได้เพียงขนาด .22 ซึ่งถือว่าผิดวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังพบว่าใช้ช่องโหว่ของกฎหมายซื้อปืนสวัสดิการในราคาถูก แต่ปืนอยู่กับบุคคลอื่น แต่ต้องสลักหลังทิ้งไว้พอ 5 ปี ถึงโอนได้ เป็นต้น.