เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการคุยแหลกแดกดึกกับนายคชาภา ตันเจริญ หรือ “มดดำ” พิธีการรายการชื่อดัง ก่อนจะถึงวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 56 ปี ในวันที่ 21 มิ.ย. นี้ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เล่าถึงชีวิตในต่างประเทศว่า ทุกวันนี้พยายามไม่ยึดติดแม้ว่าที่ผ่านมา จะต้องใช้ชีวิตที่ห่างจากลูกชายน้องไปป์-ศุภเสกข์ อมรฉัตร พร้อมยังขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ยังให้ความรักและยังไม่ลืม เพราะถือเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจในการใช้ชีวิตในต่างแดน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ในการเข้ามาดูแลประเทศ

เมื่อถามว่าหากตนเองยังเป็นนายกฯ อยู่ คิดว่าโครงการไหนจะดำเนินการให้สำเร็จ น.ส.ยิงลักษณ์ กล่าวว่า คิดว่าคงเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์จังหวัด เพื่อดึงศักยภาพและจุดเด่นของแต่ละจังหวัดมานำเสนอและตอบโจทย์ในระดับประเทศ รวมทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงและนโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ พร้อมหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมาสานต่อนโยบายดีๆ ในการพัฒนาประเทศ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ตัวเองพยายามหาความรู้และศึกษาเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบัน เพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีของโลก และรู้ถึงวิวัฒนาการในต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ ต่อยอดและยังใช้เวลาในการออกกำลังกาย เพื่อให้มีความสุขในการใช้ชีวิต

“วันนี้พยายามไม่เศร้า พยายามไม่ทุกข์ แต่จริงๆ แล้วก็ต้องยอมรับว่าชีวิตไม่มีความสุขหรือความทุกข์อยู่กับเราตลอดไป แต่ที่เห็นหัวเราะมีความสุข เพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง เพราะไม่งั้นมันจะเป็นความทุกข์ แต่มุมหนึ่งของชีวิตมันก็มีความคิดถึงบ้าน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

เมื่อถามว่า วันนี้คุณยิ่งลักษณ์ อยากกลับบ้านหรือยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อยากกลับบ้าน เพราะถือเป็นบ้านเกิด แต่ยังไม่รู้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่ลิขิตว่าจะกำหนดให้ได้กลับบ้านหรือไม่ แต่วันนี้ต้องอยู่ให้ได้ ต้องปล่อยวางและรอจังหวะเวลาในอนาคต

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ในปัจจุบันที่เยาวชนหันมาสนใจการเมือง และคลิปที่เป็นที่สนใจคือคลิปที่อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ กล่าวแถลงใช่วงที่สถานการณ์การเมืองในอดีตที่รุนแรงผ่านวลี “ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว” ว่าวันนั้นเป็นวันที่พยายามทำทุกอย่าง อะไรที่เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามปลดล็อกในสิ่งที่รัฐบาลในขณะนั้นทำได้ แต่ยังมีการออกมาขับไล่อย่างรุนแรง ซึ่งในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ก็ไม่อยากเห็นภาพความขัดแย้ง โดยในสถานการณ์ขณะนั้น ตนเองพยายามเข้มแข็งเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ในการประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น

“เราหวังว่าเรายุบสภาแล้วทุกอย่าง ที่เป็นความขัดแย้งจะเข้าสู่วิถีทางของประชาธิปไตยในสภา แต่ไม่เป็นไปตามที่มุ่งหวัง จนนำไปสู่การรัฐประหาร”

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกด้วยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แม้จะมีกระแสข่าวดีลลับ ยืนยันตัวเองมีความชัดเจนว่า รับไม่ได้ในเรื่องของรัฐประหาร ส่วนที่พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 2 ตนในฐานะผู้ชมก็ต้องยอมรับและดีใจที่พรรคเพื่อไทย สนับสนุนพรรคอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นครรลองในระบอบประชาธิปไตย