หลัง“พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เจอฉากฆ่าตัดตอน 2 ฉากใหญ่ จากคดีถือหุ้นสื่อไอทีวี ที่ศาลรัฐธรรมนูญเงื้อดาบรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว พร้อมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. จึงต้องโบกมือลากลางสภา เรียกน้ำตาจากส.ส.ก้าวไกลบางคน ตามด้วยฉากฆ่าตัดตอน ฉาก 2 คือถูกรัฐสภาโหวตเตะออกจากสนามโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ด้วยมติเสียงข้างมาก 395 เสียง ต่อ 312 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง  ไม่ลงคะแนน1 เสียง 

งานนี้“พ่อทิม” ลุกขึ้นยืนประกาศกลางสภาว่า “ขณะนี้มีเอกสารจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้นคงจะพูดกับประธาน ว่ารับทราบคำสั่ง จะปฏิบัติตามคำสั่งจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอื่น ขอใช้โอกาสนี้อำลาท่านประธานจนกว่าเราจะพบกันใหม่ ขอฝากเพื่อนๆสมาชิกในการใช้รัฐสภาในการดูแลพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่14 พ.ค.66 และถ้าเกิดประชาชนชนะมาแล้วครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทาง ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ขอให้เพื่อนสมาชิกทุกคนดูแลประชาชนต่อไป และได้ถอดบัตรประจำตัวสส.ส.ที่ติดไว้ที่หน้าอกออกยกขึ้นชู แล้ววางลงบนโต๊ะที่นั่ง.

ทำให้ส.ส.ที่ส่วนใหญ่เป็นของพรรคก้าวไกล และ ส.ส. และ พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลลุกขึ้นยืนปรบมือให้ดังลั่นสภา และเดินเข้ามากอดให้กำลังใจ ก่อนที่ “พิธา” จะเดินออกจากห้องประชุม

แต่แค่นั้นยังเจ็บไม่พอยังมีคดีเบิ้มๆ รอกระหน่ำอีกระรอก นั่น คือ คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณากรณี พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหา ว่า ล้มล้างการปกครอง ที่ใช้มาตรา 112 ในการหาเสียง ซึ่งศาลเปิดให้ชี้แจงภายใน15 วัน ซึ่งถ้าผิดจริง ต้องเรียกว่า เป็นปฏิบัติการขุดรากถอนโคนพรรคก้าวไกล เพราะโทษสูงสุดถึงขั้นถูกยุบพรรค ตามรอยพรรคอนาคตใหม่ และพร้อมตอกตะปูปิดฝาโลงด้วยคดีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของ “พิธา” ที่ถือมาตั้งแต่ก่อนปี 2562 หากศาลตัดสินว่า “พิธา” ผิดจะทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นส.ส.ทันทีและอาจย้อนหลังไปถึงปี 2562

เกมต่อไปที่ต้องลุ้นต่อ คือ การลากยาวฆ่าตัดตอนส.ส.พรรคก้าวไกลทั้งยวง ด้วยการสั่งให้การลงนามรับรองผู้สมัครส.ส.ของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะ ส่งผลให้ต้องเลือกตั้งใหม่แทนส.ส.ก้าวไกลทั่วประเทศ

หมากโหดเกมนี้หลายคนเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่สถานการณ์จริง คือ ได้เห็นถึงร่องรอยการซอยเท้าของกลุ่มอำนาจเก่าที่สั่งพลพรรคเตรียมพร้อมรับศึกเลือกตั้งในเดือนธันวาคม

ถือเป็นนิติสงครามเต็มรูปแบบล้มพรรคก้าวไกลได้ทั้งกระดาน แต่อย่าลืมสายพันธุ์ดอมส้มเป็นสายพันธุ์ที่ฆ่าไม่ตายและดีเอ็นเอแกร่งกล้า พร้อมลุกฮือขึ้นออกมาใช้สิทธิ์ประกาศชัยชนะด้วยผลเลือกตั้งไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม อย่าง“ช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ก็เคยประกาศว่าถ้า “พิธา” ถูกตัดสิทธิ์จะเจอ “รังสิมันต์ โรม” สายฟาดตัวพ่อของจริง ขึ้นกุมบังเหียนหัวหน้าพรรคคนใหม่

เป็นเกมร้อนที่พรรคก้าวไกลประกาศสู้ยิบตาพร้อมจัดทัพใหม่ สร้างตำนานการต่อสู้กับนิติสงครามรอบใหม่ และเชื่อว่า ไม่ว่าจะสู้กี่รอบดีเอ็นเอของส้มก็ยังอยู่ในใจประชาชน และพร้อมออกศึกทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตามเกมร้อนการเมืองตอนนี้อุณหภูมิระอุขึ้นเรื่อยๆกับการเปลี่ยนเกมพลิกขั้วปรับสูตรใหม่ลุยตั้งรัฐบาล ที่สลับให้พรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล  ส่อลากยาวไปถึงเดือนสิงหาคม จนไทม์ไลน์การกลับบ้านของ “นายห้างดูใบ” “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องขยับไปเป็นหลัง 12 สิงหาคม

งานนี้พรรคเพื่อไทยถือไปแล้ว 1 ธงชัย คือ การพลิกขั้วขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยที่พรรคก้าวไกลต้องยอมรับกับชะตากรรมในครั้งนี้ จึงเป็นเวลาที่แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 คน คือ “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร และ“เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน  ได้เฉิดฉาย แต่กรณี “อิ๊งค์” ติดที่ “คุณหญิงแม่” “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ไม่ปลื้ม  หวยเลยมาออกที่“เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน โดยมีวิบากกรรมรออยู่ข้างหน้ากับการถูกแบลคเมล์ ที่“ เฮียชูจอมแฉ” “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ออกประกาศเองว่าจะแฉกรณี ถึงความไม่โปร่งใส ในการทำธุรกิจโดยมีเอกสารยืนยันชัดเจน 

กลายเป็นโจทย์ยากของพรรคเพื่อไทยที่เจองานงอกชิ้นโต จึงต้องจับตาดูว่าจะแก้เกมอย่างไร แต่การเดินหน้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องเดินต่อไป

ตามที่ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยเลขาธิการพรรค “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองหัวหน้าพรรค ออกมาตั้งโต๊ะแถลงเดินหน้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังพรรคก้าวไกลเปิดทางให้ ว่า พรรคเพื่อไทย ขอขอบคุณพรรคก้าวไกล ที่ส่งมอบภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาลให้ ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้เงื่อนไขของการร่วมรัฐบาลจาก  8 พรรคการเมืองเดิม ตามที่พรรคก้าวไกลได้แถลงต่อสื่อมวลชนไปแล้ว โดยพรรคเพื่อไทยได้หารือกับ 8 พรรคการเมืองเดิม เพื่อหาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาเพิ่มเติมให้ได้เสียงเกินกว่า 375 เสียง 

เบื้องต้นพรรคเพื่อไทยจะขอเสียงสนับสุนนจาก สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และจากพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ในที่สุด 

ทำให้ตอนนี้มีกระแสข่าวลือ ข่าวลวง ดีลลับ ดีลเลิฟ ปล่อยออกมาเขย่าขั้วอำนาจกันให้กระหึ่ม กับเกมบีบพรรคก้าวไกลให้ไปเป็นฝ่ายค้าน เห็นได้จากบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิมออกมาประสานเสียงว่า ไม่เอาพรรคที่จะแก้มาตรา 112 และยังมีสูตรการจัดตั้งรัฐบาลลอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งสูตรการเสนอชื่อ“เสี่ยนิด”เศรษฐา” เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคร่วมรัฐบาลมากว่า 8 พรรค โดยหนีบพรรคก้าวไกลไปด้วยกัน คาดว่า ผลที่จะออกมา คือ “เจอ ส.ว.โหวตคว่ำ” เนื่องจากส.ว.เคยประกาศไว้ว่า รัฐบาลใหม่ต้องไม่มีพรรคก้าวไกล 

หรือสูตรเสนอชื่อ“เสี่ยนิด”เศรษฐา” เป็นนายกฯมีพรรคร่วมรัฐบาลมากว่า 8 พรรค โดยไม่มีพรรคก้าวไกล สูตรนี้น่าจะผ่านด่านหินของส.ว.ไปได้ แต่รัฐบาลใหม่จะต้องเจอแต่ทางวิบาก เพราะพรรคใหม่ที่งอกเข้ามาร่วมรัฐบาล ไม่พ้นพรรคลุงๆ ที่มีเสียงส.ว.อยู่ในมือ แม้จะได้เป็นรัฐบาลก็ต้องเจอกับม็อบด้อมส้ม ที่จะค่อยเป็นหนามตำเท้าในทุกย่างก้าว

การเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ทุกสูตรเกิดขึ้นได้เมื่อผลประโยชน์ลงตัว แต่ก็อย่าลืมนึกถึงประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติเป็นหลักด้วย.