เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่รัฐสภา นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ดินที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ว่า นายเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ละเมิดกฎหมายใด และไม่ได้ฝ่าฝืนจริยธรรมใดๆ ซึ่งข้อกล่าวหาที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง พูดวันนี้ เป็นข้อกล่าวหาอาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากนายเศรษฐาไม่ได้เป็นตัวการ ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุน ไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการเลี่ยงภาษีใดๆ
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ขณะนั้นนายเศรษฐาคือผู้บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะปฏิเสธได้หรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ปฏิเสธได้ เพราะนายเศรษฐาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษี และตนเข้าใจว่าการซื้อขายที่ดินนั้น ระหว่างบริษัท แสนสิริฯ กับผู้จะขาย หน้าที่ในการชำระภาษี อยู่ที่ผู้จะขาย ฉะนั้นผู้ที่จะขาย ต้องชำระภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเราไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้จะขายได้เลี่ยงภาษี หากใครสงสัยว่าผู้จะขายเลี่ยงภาษี สามารถตรวจสอบที่กรมสรรพากรได้
นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนความเกี่ยวข้องของนายเศรษฐา บริษัท แสนสิริฯ เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีธรรมาภิบาล และการซื้อขายทรัพย์สิน ของนายเศรษฐาต้องทำตามกฎหมาย ซึ่งภารกิจของซีอีโอเกี่ยวข้องแค่อนุมัติจำนวนเงินและโครงการเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้เห็นอะไรในการชำระภาษี แล้วย้ำว่า หากใครสงสัยเรื่องการชำระภาษีสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งบริษัท แสนสิริฯ เป็นผู้จะซื้อ โดยผู้จะขายเป็นผู้ที่ต้องชำระภาษี และเราไม่มีข้อสงสัยว่าผู้จะขายเลี่ยงภาษี
เมื่อถามว่า มองการออกมาเปิดเผยข้อมูลของนายชูวิทย์ ในขณะที่กำลังจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี อย่างไรบ้าง นายนพดล กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ ซึ่งมีคนตั้งคำถามว่า มีเจตนาทางการเมืองหรือไม่ ในการที่จะดิสเครดิต หรือลดทอนความน่าเชื่อถือของนายเศรษฐาหรือไม่ จึงอยากเรียนว่า นายเศรษฐาเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้ไปสมรู้ร่วมคิด และไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนในการเลี่ยงภาษีใดๆ ต้องทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยกังวลหรือไม่ ที่การเปิดข้อมูลในครั้งนี้ อาจจะกระทบต่อการยกมือโหวตนายกรัฐมนตรี นายนพดล กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะตนได้รับข้อมูลทั้งหลายมาแล้ว และได้ตรวจสอบกับทีมนายเศรษฐาแล้ว และเชื่อว่าไม่ได้มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล คิดว่าสมาชิกรัฐสภาหากจะโหวตใคร หรือเห็นชอบใครเป็นนายกรัฐมนตรี คงจะดูข้อเท็จจริงมากกว่าข้อกล่าวหาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทางการเมือง
เมื่อถามว่า หากมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องทางการเมืองจะมีการดำเนินการอย่างไรกับนายชูวิทย์ นายนพดล กล่าวว่า ต้องรอดู ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่ประสงค์ที่จะค้าความ เพราะเราอาสามาทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง อยากจะเสนอนายเศรษฐา เพื่อขอความเห็นชอบและตั้งรัฐบาล เพื่อมาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผลักดันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ อย่างเร็วที่สุดคงไม่ค้าความหรือไปฟ้องร้องนายชูวิทย์ แต่ต้องดูว่านายชูวิทย์ มีข้อมูลอะไรที่จะมาเพิ่มเติมกระทบกับสิทธิ หรือไม่ หากกระทบสิทธิค่อยว่ากัน
เมื่อถามว่า พื้นที่ที่มีปัญหาคือพื้นที่ในส่วนใด นายนพดล กล่าวว่า เป็นพื้นที่กลางเมืองที่นายชูวิทย์พูดถึง แต่การซื้อขายที่ดินของแสนสิริ เป็นการซื้อกับบุคคล ซึ่งบุคคลเป็นทายาทที่ไปรับแบ่งจากบริษัท แต่เขาจะแบ่งอย่างไรเป็นขั้นตอนของผู้จะขาย รวมทั้งการชำระภาษีก็เป็นหน้าที่ของผู้จะขาย ที่คาดเคลื่อนคือการถูกกล่าวหาค่อนข้างแรง คือการกล่าวหาว่า นายเศรษฐาคือตัวการในการเลี่ยงภาษี ซึ่งแย่กว่าการบอกว่าเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งแสนสิริไม่ได้มีประโยชน์หรือเสียประโยชน์ จะไปเลี่ยงภาษีให้กับผู้จะขาย.