ล่าสุด “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่สามในวันที่ 22 ส.ค.หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ตีตกไม่รับคำร้องส่งชื่อ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกรัฐมตรี พรรคก้าวไกล  ชิงนายกรัฐมนตรีรอบ 2 เหตุผู้ร้องเป็นประชาชนไม่ได้เป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิ์โดยตรง

ท่ามกลางเกมร้อนการชิงธงจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำดันชื่อ “เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เข้าโหวตปูทางเข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้า นั่งบัลลังก์นายกรัฐมนตรี แต่เกิดอาการขบเหลี่ยมปีนเกลียวจากที่พรรคเพื่อไทยเดินเกมตีกิน ขอดูน้ำใจจากเพื่อนพรรคร่วมรัฐบาลที่จะชูมือโหวตหนุน “เศรษฐา” ในที่ประชุมรัฐสภาก่อนที่จะมาตั้งวงคุยเรื่องการเกลี่ย เก้าอี้รัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ

ทำเอาก๊วนว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ออกอาการรู้ทันเหลี่ยมพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ใช่เด็กที่ต้องมานั่งเขียนเอ็มโอยู พร้อมส่งสัญญาณกันรั้วๆ ชิงปิดเกมขอเคลียร์เก้าอี้รัฐมนตรีให้จบก่อนโหวตนายกฯ

ช่วงนี้เลยกลายเป็นเกมต่อรองเกลี่ยผลประโยชน์ ตามรูปเกมรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะมีพรรคร่วมรัฐบาล 9 พรรค ประกอบด้วย  พรรคเพื่อไทย (พท.)  141 เสียง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 71 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง พรรคประชาชาติ (ปช.) 9 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง (พทล.) 2 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) 2 เสียง ส่วนพรรคเสรีรวมไทย (สร.) พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากนับนิ้วรวมแล้วเสียงยังไม่พอ จึงต้องเดินเกมเติมเสียงจากพรรค 2 ลุง คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 เสียงรวม 11 พรรค 314 เสียง

บรรยากาศการตั้งวงต่อรองจาก ดีลลับดีลลวง จนเกิดดีลล่มหลายรอบ ตามตุ๊กตาที่คำนวณกันจะใช้โควตา 9 ต่อ 1 คื สส. 9 คน ต่อ 1 เก้าอี้รัฐมนตรี แน่นอนว่าแต่ละพรรคล้วนต้องการจับจองเก้าอี้ ในกระทรวงเกรด A ด้วยกันทั้งนั้น อย่างพรรคเพื่อไทยเอง ก็ขอประทับตราตีตราจองไว้ที่เก้าอี้ มท.1 รมว.มหาดไทย ตามด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง  กระทรวงกลาโหม และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแน่นอนว่าพรรคร่วมอื่นๆ ก็ต้องการเก้าอี้ในกระทรวงเกรด A ด้วยเช่นเดียวกัน การเจรจาจึงไม่ใช่จบลงง่ายๆ

ตามกรอบพรรคเพื่อไทยมีสส. 141 คนจะได้เก้าอี้ 16 เก้าอี้รวมนายกฯ พรรคภูมิใจไทย มี 71 คน ขอเก้าอี้ รมว. 4 เก้าอี้+รมช. 4 เก้าอี้ พรรคพลังประชารัฐ มี สส. 40 คน ขอเก้าอี้ รมว.2+รมช.3 เก้าอี้ หรือ 2+2 พรรครวมไทยสร้างชาติ มี สส. 36 คน จะได้รมว. 2+รมช. 2 เก้าอี้ ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาชาติ จะได้คนละ 1 เก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการ (รมว.) ต้องจับตาดูว่าเกมการเขย่าเก้าอี้ จะเป็นเกมร้อนเกมรักหรือจะเป็นรอยรักรอยร้าวของการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว ที่อาจจะเป็นเชื้อไฟกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลในอนาคต 

จับอาการ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนหน้าก็ออกอาการเก็บตัวเงียบ พอมาจังหวะนี้กลับออกหมัดแยบ

พูดเป็นนัย ว่า ช่วงนี้กินอะไรก็ได้แต่อย่ากินเกาเหลา ให้กินเส้นเยอะๆ” ส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีต้องเคลียร์ให้จบก่อนโหวตนายกฯ และถ้าได้นั่งกระทรวงเดิมจะได้สานงานต่อ ถ้าไม่ได้ต้องขอคุยด้วยเหตุผล              

ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติก็เช่นเดียวกันประกาศลั่นก่อนโหวตนายกฯต้องปิดดีลเก้าอี้รัฐมนตรีให้จบแม้จะมีเสียงไม่มาก แต่ก็อยากได้กระทรวงใหญ่ และที่สำคัญเก้าอี้กระทรวงพลังงาน ยังมี “บิ๊กบอส” ด้านพลังงานคอยคุมเกมอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดต้องจบเกมก่อนวันโหวตเลือกนายก 22 ส.ค.

สถานการณ์ช่วงนี้ที่มองว่าแน่นอน คือ ความไม่แน่นอนดูได้จากการเขย่ากระดานอำนาจของ 2 สว.ตัวตึง ที่หยิบเชื้อไฟมาจากการแฉเพื่อชาติ ของ “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก่อนจะพลีชีพด้วยโรคมะเร็งร้าย กลับประเด็นร้อนปมการซื้อขายที่ดินของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บมจ.แสนสิริ ในช่วงที่ เศรษฐายังเป็นผู้บริหารระดับสูง ทำให้รัฐเสียประโยชน์จากการทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงการเสียภาษี 512 ล้านบาทหรือไม่  นอกจากนี้ยังมีการทำธุรกรรมอำพรางโดยใช้ “นอมินี มาซื้อผ่านบริษัทลูกของ บ.แสนสิริ ก่อนที่ บ.แสนสิริ จะมาซื้อต่ออีกที

 ล่าสุด “เฮียชู”ได้หอบหลักฐานส่งให้กับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นกล่าวโทษต่อคณะกรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นนอมินีซื้อขายที่ดิน ในข้อหาทำเอกสารอันเป็นเท็จ, จัดตั้งบริษัทนอมินี และฟอกเงิน และประกาศจะแถลงข่าวตอนสุดท้าย โดยเปิดให้เห็นธาตุแท้นายทุนในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค.ก่อนวันโหวตนายกฯ

งานนี้เลยเข้าทางที่สว.จะลาก “เสี่ยนิด เศรษฐา” ให้ออกมาแสดงวิสัยทัศน์กลางสภา เกมกระดานนี้ของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะส่งให้ “เสียนิด เศรษฐา”ขึ้นนั่งบัลลังก์นายกฯเพราะใครก็รู้ว่า 2 ลุง มีเกมเหนือ เพราะเป็นคนทำคลอด สว.ชุดนี้ และการที่สว.ออกมาแสดงอาการแข็งข้อในช่วงเวลาของการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีช่วงนี้ ของพรรคลุงๆ ดูเหมือนว่า สถานการณ์จะเอื้อต่อกัน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

เพราะ 2 ลุงไม่ได้หนีบมาแค่ สส. ในพรรคเท่านั้นแต่ยังเคลมเสียง สว. ที่เคยทำตัวเป็นด่านหินสกัด “พิธา” ให้หลุดจากกระดานอำนาจไปแล้ว เลยมีสว.บางคนออกมาพูดชื่อแคนดิเดตนายกฯคนอื่นเหมือนโยนหินถามทาง ต้องถือว่าเป็นเกมบีบได้อีกทางหนึ่ง เลยทำให้เกิดมโนไปว่าถ้า “เสี่ยนิด เศรษฐา” หลุดไปไม่ถึงฝั่ง ชื่อต่อไปก็น่าจะเป็น “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตอีก 1 คนของพรรคเพื่อไทย ที่หลายคนเห็นว่าเหมาะสมที่จะนั่งนายกรัฐมนตรี หรืออาจจะไหลไปที่พรรคอันดับ 3 ก็เป็นได้ทั้งนั้น  เพราะการเมืองไม่ใช่แค่ 1 + 1 เท่ากับ 2 แต่อยู่ที่การจัดสรรผลประโยชน์ ว่า เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายหรือไม่

สอดคล้องกับที่ “ตู่” จตุพร หมพันธุ์ ออกมาฟันธง ว่า วันนี้การเมืองยังไม่ง่าย แม้จะปรากฏความชัดเจนคือ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมาสนับสนุน“เศรษฐา” แต่จะไม่ได้เป็นนายกฯเพราะสว.ไม่โหวตให้ เสียงจึงไม่ถึง 376 เสียง  ดังนั้นเกมจะหลุดไปถึงคิว “อุ๊งอิ๊ง” ซึ่งจะได้เสียงทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาล และสว.จะโหวตให้ แต่จะเจอวิบากกรรมหนักกว่า“พ่อทักษิณ และอาปู”เจอ แล้ว “ทักษิณ”ต้องปิดฉากการคิดกลับบ้าน แต่ให้รอคอยรับคนออกนอกประเทศแทน พรรคเพื่อไทยจะเจอผ้าป่าสามัคคี แทนที่จะทอดผ้ากับกลายเป็นการวางดอกไม้จันท์ฌาปนกิจทางการเมือง จากตระบัดสัตย์และการหักหลังประชาชนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล เข้าตำราโบราณว่า “ความรักทำให้คนตาบอด ความจริงทำให้คนตาสว่าง”

นาทีนี้ต้องจับตาดูการชิงเหลี่ยมกระดานอำนาจข้ามขั้วสุดท้ายแล้ว การจับมือดูดปากกันในการจัดตั้งรัฐบาล จะเป็นการจัดบนพื้นฐานประโยชน์ส่วนตัวเองหรือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนกันแน่.