เมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า ขณะนี้เหมือนมีการจัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากมีคนไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกือบทุกวัน โดยเฉพาะผู้ที่คาดหวังว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี แต่การที่โผยังไม่นิ่ง เป็นอำนาจต่อรองที่ได้เปรียบของพรรคเพื่อไทย คาดว่าน่าจะสรุปได้ภายในวันอาทิตย์นี้ แล้ววันจันทร์นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ

ที่คาดว่าสะเด็ดน้ำแล้วไม่มีคลาดเคลื่อนก็คือ กระทรวงกลาโหม คือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โควตาสายตรงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีรายงานข่าวว่าไม่ให้พลเรือนนั่ง ทำให้นายสุทิน คลังแสง อาจต้องมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ แทน ส่วนเพื่อไทยขอกระทรวงสำคัญนอกจากกระทรวงการคลังที่ให้นายกฯ นั่งควบแล้ว กระทรวงคมนาคมจะให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาดูแลเหมือนในสมัยพรรคไทยรักไทย ซึ่งเคยสร้างชื่อกระฉ่อนในคดี CTX9000 เดิม ส่วนกระทรวงสาธารณสุข ให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ต่างตอบแทนที่ช่วยดูแลพรรค และต้องลาออกไปเพื่อรักษาคำพูด

ส่วนโควตาพรรคภูมิใจไทยยังไม่นิ่ง เพราะเมื่อเพื่อไทยขอกระทรวงคมนาคมกับสาธารณสุขคืน ทำให้นายอนุทิน อาจต้องมานั่งกระทรวงเกษตรฯ หรือไม่ก็กระทรวงมหาดไทย สลับกับนายภูมิธรรม เวชยชัย ส่วน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังไม่แน่นอน เพราะถูกต่อรองจาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ครม.เศรษฐา 1 จะต้องไม่มีแป้ง เพราะผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันแล้ว และมีรายงานว่า มีการขอตรวจรายชื่อ ครม. ใหม่ ก่อนนำยื่นทูลเกล้าฯ ด้วย

แต่เท่าที่ดูโผรายชื่อ ครม. เศรษฐา 1 แล้ว การที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีคณะรัฐมนตรีบางส่วนมาจากรัฐบาล นายทักษิณ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้รัฐบาลของนายเศรษฐา จะมีรายชื่อรัฐมนตรีเก่าจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะการจัดโผ ครม. ของรัฐบาลใหม่นี้ แบ่งกันตามโควตาพรรคการเมือง และนายทุนของพรรคที่ออกเงินเลือกตั้งให้พรรคตามสัดส่วน เราจึงเห็นแต่รัฐมนตรีหน้าเดิมที่เป็นผู้มีอำนาจในพรรค และนายทุนผู้ออกเงินเท่านั้น ที่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ แต่ไม่ได้เฟ้นหาผู้มีความรู้ความสามารถเฉพาะแต่ละกระทรวงอย่างแท้จริง เพื่อมาบริหารและแก้ไขวิกฤติประเทศ ทั้งด้านการเมืองที่รวมศูนย์และเศรษฐกิจที่ผูกขาดความเหลื่อมล้ำ

นี่จึงเป็นการเมืองแบบเก่า ที่สื่อต่างประเทศตีความว่า พรรคเพื่อไทยกำลังทำสัญญาปิศาจนั้น ไม่ใช่เรื่องเกินเลย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลขาดเอกภาพและไร้เสถียรภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่าลืมว่า การทำข้อตกลงกับปิศาจเป็นความเชื่อดั้งเดิมของตะวันตกเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา เพื่อรับอำนาจและความสามารถพิเศษเข้ามาโดยการแลกกับวิญญาณที่มี ซึ่งมักจะมีอันเป็นไปทุกราย ไม่ต่างจากครูกายแก้วที่ปรากฏเป็นกระแสอยู่ในสังคมไทยในขณะนี้.