เมื่อเวลา 12.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) วันที่ 22 ก.ย. ที่โถงประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (General Assembly Hall) ชั้น 2 สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไป การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ในหัวข้อ Rebuilding trust and reigniting global solidarity: Accelerating Action on the 2030 Agenda and its Sustainable Development Goals towards peace, prosperity, progress and sustainability for all ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่อง สันติภาพ มนุษย์ และการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพื่ออนาคตร่วมกัน

โดยนายกฯ กล่าวยืนยันถึงบทบาทของไทยในเวทีโลก ซึ่งในขณะนี้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย และกำลังเดินหน้าเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐธรรมนูญและค่านิยมที่เป็นประชาธิปไตย รวมถึงส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โดยรัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินบทบาทนำอย่างสร้างสรรค์ร่วมกับพันธมิตรและประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองแก่ประชาชน ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า การลงทุน การเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) และไทยพร้อมรับมือกับความท้าทายในระดับโลก ทั้งการเสริมสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโลก การและพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือในระดับพหุภาคีจากประชาคมระหว่างประเทศ

นายกฯ กล่าวชื่นชมความมุ่งมั่นของสหประชาชาติในเรื่องวาระใหม่เพื่อสันติภาพ ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าจะเป็นแนวทางสำคัญในการฟื้นฟูความร่วมมือระดับพหุภาคี และส่งเสริมบทบาทของสหประชาชาติในการเสริมสร้างสันติภาพให้กับโลก นอกจากนี้ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเคารพต่อสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพ โดยผ่านการสร้างความเข้มแข็งให้กฎหมายและเพิ่มความโปร่งใสในรัฐบาล

นายกฯ กล่าวต่อถึงด้านสาธารณสุข ว่ารัฐบาลมีแผนที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้มีคุณภาพและเพิ่มทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น ทั้งขอไทยยังขอให้ทุกประเทศร่วมมือกันเสริมสร้างกลไกความร่วมมือระดับโลก เพื่อป้องกันกับโรคระบาดใหญ่ สำหรับเตรียมรับมือกับโรคระบาดในอนาคต

รวมถึงไทยสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินสีเขียว ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน รวมถึง Thailand Green Taxonomy ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านการกระตุ้นการกำหนดกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2040 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 รวมถึงมีแผนการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน

ในช่วงท้าย นายกฯ กล่าวว่า หวังว่าการประชุมครั้งสำคัญอย่าง Summit of the Future ในปีหน้า จะเป็นกรอบความร่วมมือพหุภาคีที่สำคัญของสหประชาชาติในการเสริมสร้างสันติภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่โลก.