มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ สิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ การยื่นภาษี ซึ่งเวลานี้กำลังเข้าสู่ช่วงปลายปี หลายคนเริ่มมองหาตัวช่วยที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีประจำปี 2566 ว่ามีอะไรกันบ้าง เพราะจะต้องนำไปยื่นช่วงต้นปี 2567 มาสำรวจกันว่า ค่าลดหย่อนภาษีมีอะไรบ้าง? แล้วต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับกรมสรรพากรเมื่อไหร่ ช่องทางไหน?

“ค่าลดหย่อน” คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ถูกกำหนดตามกฎหมาย กำหนดไว้ให้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว จะช่วยทำให้เราเสียภาษีน้อยลงหรืออาจจะไม่ต้องเสียภาษีเลย โดยในแต่ละปีอาจมีรายการลดหย่อนภาษีต่างกันออกไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในแต่ละปี

สำหรับรายการลดหย่อนภาษีประจำปี 2566 แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

1.ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว

  • ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • คู่สมรส (จดทะเบียนสมรส-ไม่มีรายได้) 60,000 บาท
  • บุตร คนละ 30,000 บาท หากเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย สามารถหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนคน แต่ถ้าเป็นบุตรบุญธรรม สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-อายุไม่เกิน 20 ปี

-หากอายุ 21-25 ปี ต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไป

-บุตรมีเงินได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี ในกรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จะสามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท

  • ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร หักลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
  • ค่าดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คนละ 30,000 บาท โดยพ่อแม่ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และสามารถหักลดหย่อนสำหรับพ่อแม่ของคู่สมรสได้อีกคนละ 30,000 บาท
  • ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท โดยผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวคนพิการ

2.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและการลงทุน

  • ประกันสังคมสูงสุด 9,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่ของตัวเองและของคู่สมรส ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือเงินฝากแบบมีประกันชีวิต (คุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป) ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพตัวเอง ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตทั่วไปแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และอาจจะลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ถ้ายังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-ระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป

-จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น

  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และสำหรับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)  ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-ต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ

-ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อและไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี

  • กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี

-ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก โดยนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน คือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีการลงทุนในปีนั้น

-ขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 30,000 บาท
  • กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-ระยะเวลาถือครอง 8 ปีเต็ม

-การลดหย่อนภาษีไม่นับรวม RMF/SSF

ทั้งนี้ กองทุน RMF, กองทุน SSF, กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวม กองทุน TESG อีก 100,000 บาทจะสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 600,000 บาท)

3.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • ดอกเบี้ยบ้าน ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-เป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้เพื่อซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม หรือที่อยู่อาศัย โดยเราต้องอาศัยในบ้านหลังนี้ด้วย

-ต้องเป็นการกู้เพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่บนที่ดินของตัวเอง หรือกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม

-ต้องเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศ

-หากมีการกู้สำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 แห่ง สามารถรวมกันได้ แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท

-กรณีกู้ร่วมกันหลายคน ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่า ๆ กัน

  • เงินลงทุนวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) 100,000 บาท
  • ช้อปดีมีคืน 40,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้

-ซื้อสินค้าและบริการทั่วไปที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หนังสือ (รวมถึง e-book) และสินค้า OTOP ลงทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชนแล้ว

-มีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ลดหย่อนได้ 30,000 บาท

-มีใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลดหย่อนเพิ่มได้อีก 10,000 บาท

-ใช้สำหรับการซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 1 มกราคม–15 กุมภาพันธ์ 2566

4.ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค

  • บริจาคพรรคการเมือง 10,000 บาท
  • เงินบริจาคเพื่อการศึกษา สนับสนุนกีฬา พัฒนาสังคมต่าง ๆ มูลนิธิด้านสาธารณสุข และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  • เงินบริจาคอื่น ๆ มูลนิธิและองค์กรสาธารณกุศล ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อไหร่ ช่องทางไหนบ้าง?

1.ยื่นภาษีแบบเอกสารกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาใกล้บ้าน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567-วันที่ 31 มีนาคม 2567

2.ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรที่ www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567-วันที่ 8 เมษายน 2567

(ขอบคุณข้อมูลจาก fintips by ttb และ กรมสรรพากร)