เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่รัฐสภา ว่าที่ ร.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เอกสารร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ได้มาถึงสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกรอบ 105 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 143 กำหนดไว้ หรือต้องให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เม.ย. 2567 โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กำชับให้เตรียมห้องประชุม สำหรับให้หน่วยงานมาสนับสนุนข้อมูลให้คณะรัฐมนตรีชี้แจง และเมื่อถึงวันพิจารณา 3-5 ม.ค. 2567 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักประชุม ก็จะทำหน้าที่ควบคุมเวลา ให้เป็นไปตามที่วิป 4 ฝ่ายตกลงกัน คือรัฐบาลได้ 20 ชั่วโมง ฝ่ายค้านได้ 20 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการรับเอกสารในวันนี้ สส. ได้ให้ทีมงานมารับเอกสารร่างเพื่อนำกลับไปพิจารณา ประกอบด้วยหนังสือรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณคนละ 2 กล่อง ทางสภาได้จัดเตรียมไว้ 425 ชุด จากที่มี สส. 500 คน เนื่องจากว่าได้ทำแบบสอบถามไปก่อนหน้านี้ว่า สส. คนใดต้องการเป็นเล่ม หรือรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการรับเอกสารสามารถเข้ารับได้ จนกว่าจะถึงวันอภิปราย

สำหรับสาระเนื้อหาร่างงบประมาณปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2566 จำนวน 295,000 ล้านบาท โดยรายจ่ายประจำกำหนดไว้ที่ 2,532,826 ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังกำหนดไว้เป็นจำนวน 118,361 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนกำหนดไว้เป็นจำนวน 717,722 ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ได้จัดสรรไว้เป็นจำนวน 118,320 ล้านบาท

โดยงบประมาณรายจ่ายงบกลางกำหนดไว้เป็นจำนวน 606,765 ล้านบาท สำหรับรายได้ปี 2567 คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ประเภทต่างๆได้จำนวน 3,337,400 ล้านบาท แต่เมื่อหักการลดคืนภาษีต่างๆ จะคงเหลือรายได้สุทธิจำนวน 2,787,000 ล้านบาท และเนื่องด้วยรายจ่ายสูงกว่ารายได้ จำนวน 693,000 ล้านบาท คาดว่ารัฐบาลจะมีการกู้เงินในวงเงินดังกล่าวเพิ่ม

ส่วนกระทรวงที่ได้รับการจัดงบประมาณสูงสุด หลักแสนล้านบาท 5 อันดับแรก ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย 353,127 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ 328,384 ล้านบาท กระทรวงการคลัง 327,155 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม 198,320 ล้านบาท และกระทรวงคมนาคม 183,635 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อยที่สุด 5 อันดับ ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน 2,834 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม 4,559 ล้านบาท กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 5,591 ล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ 6,822 ล้านบาท และกระทรวงวัฒนธรรม 7,016 ล้านบาท.