เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติกุล รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวขยายผลจับกุมขบวนการขนบังกลาเทศ “อัสราฟ” โดยจับกุมผู้ต้องได้ 2 ราย ได้เเก่ 1.นายอัสราฟ (นามสมมุติ) อายุ 46 ปี สัญชาติบังกลาเทศ บุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ 481/2566 ฐานความผิด “ร่วมกัน ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ของพนักงานเจ้าหน้าที่” 2. นายอะบู (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี สัญชาติบังกลาเทศ บุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 1073/2566 ฐานความผิด “เป็นผู้ให้ที่พักพิง ช่วยเหลือ หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” จับกุมได้ที่บริเวณริมถนนปากน้ำ อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี

พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดขึ้นในห้วงเดือน มกราคม-มีนาคม 66 ที่ผ่านมา ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จ.สงขลา, ตม.จ.ปัตตานี, ตม.จ.นราธิวาส และ กก.สส.บก.ตม.6 ได้จับกุมต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศ หลบหนีเข้าเมืองจำนวน 41 คน รวม 5 คดี เหตุเกิดต่างท้องที่กัน พร้อมขยายผลการจับกุมดำเนินคดีผู้ให้การช่วยเหลือ จำนวน 10 คน เป็นคนสัญชาติไทย 8 คน คนสัญชาติบังกลาเทศ 1 คน คนสัญชาติปากีสถาน 1 คน

พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ บอกอีกว่า จากการวิเคราะห์แผนกรรมพบว่า คนต่างด้าวทั้งหมดลักลอบเข้าราชอาณาจักรมาทางช่องทางธรรมชาติชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจังหวัดสระแก้ว หลังจากนั้นจะนั่งรถประจำทางมาที่กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งให้นายอะบู ลูกน้องนายอัสราฟ ทำหน้าที่จัดหายานพาหนะมาส่งให้กลุ่มคนไทยผู้ที่รอรับช่วงต่อที่ จ.สงขลา นำพาออกทางช่องทางธรรมชาติบริเวณ จ.นราธิวาส เพื่อไปลักลอบทำงานที่ประเทศมาเลเซีย โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนใช้เวลา เกือบ 1 ปี ในการรวบรวมพยานหลักฐาน จนกระทั่งทราบว่า นายอัสราฟ ประกอบอาชีพนักธุรกิจบริษัท นำเข้า-ส่งออกสินค้าต่างประเทศ แต่เบื้องหลังทำหน้าที่ติดต่อหาคนต่างด้าวทั้งหมดกับนายหน้าที่ประเทศบังกลาเทศและประเทศกัมพูชา เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางในประเทศไทย ร่วมกับผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ เก็บค่าหัว 100,000-150,000 บาทต่อคน พบว่าเครือข่ายดังกล่าว มีเงินหมุนเวียนในขบวนการกว่า 117 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับนายอัสราฟ ในคดีความผิดข้อหา “ร่วมกัน ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่” ต่อมาสามารถจับกุมนายอัสราฟ ได้ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และได้นำตัวส่ง พงส.สภ.ควนมีด เพื่อดำเนินคดี

พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขบวนการของนายอัสราฟ นั้น ยังมีความเกี่ยวเนื่องในอีกหลายเครือข่าย ซึ่งขณะนี้ทาง สตม. ได้ดำเนินการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล และสืบสวนขยายผลเพื่อทำการจับกุมตัวการใหญ่ต่อไป