จากกรณีตำรวจ ปปป. (กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ) ซ้อนแผนจับกุม นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูก นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หรือ นักเคลื่อนไหวชื่อดัง พร้อมกับพวก ประกอบด้วย 1.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และ 2.น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ (ในฐานะเลขานุการนายยศวริศ) ร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 27 ม.ค. ที่ อาคารกองคับการปราบปราม ชั้น 2 ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ภายหลังเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. ดำเนินการสอบปากคำนายศรีสุวรรณ จรรยา นานกว่า 9 ชม. ก่อนอนุญาตประกันตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 400,000 บาท พร้อมกำหนดให้เข้ารายงานตัว พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าว จริงๆ แล้วเริ่มก่อหวอดมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2566 เพราะเริ่มมีหนังสือร้องเรียนหรือบัตรสนเท่ห์มายังหน่วยงาน กระทั่งช่วงปลายปี 2566 กลุ่มผู้ต้องหาเริ่มมีการไปคุย ไปเรียกรับเงินกับกลุ่มผู้เสียหาย ต่อมาช่วงวันที่ 4 ม.ค. 67 ทางฝ่ายผู้เสียหายได้มาแจ้งความร้องทุกข์กับ ปปป. เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานพอสมควร แต่รายละเอียดเชิงลึกขอละเว้นการเปิดเผยไว้ก่อน เพราะจะต้องใช้ในการขยายผลต่อไป

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า สำหรับพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหานั้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนจนได้พยานหลักฐานพอสมควร และได้ขอศาลออกหมายจับ ซึ่งศาลได้มีการอนุมัติทั้ง 3 หมายจับพร้อมเพรียงกัน ส่วนทั้งหมดจะเกี่ยวกันในมิติใดนั้น จากรายงานการสืบสวนจะพบว่า ทั้ง 3 ราย มักมีการแถลงข่าวด้วยกันหลายหน ส่วนทางผู้ต้องหาผู้หญิง (น.ส.พิมณัฏฐา) ก็มีความสนิทสนมกับทางนายยศวริศพอสมควร อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 ราย มีพฤติกรรมร่วมกันเรียกรับเงินกับผู้เสียหาย ส่วนเรื่องเส้นทางการเงินระหว่างกลุ่มผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานชัดเจนหลายรายการ อาทิ รายการเส้นทางการเงินของการทำธุรกรรม และคลิปเสียงสนทนา เป็นต้น กรณีการขยายผลว่าจะมีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติมในการกระทำผิดหรือไม่ อยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ที่มีการระบุถึงบัญชีม้าและการกล่าวอ้างชื่อผู้ใหญ่นั้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกคน และจะขอทำเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานำส่งให้พนักงานสอบสวนในภายหลัง เพราะยังไม่ขอให้การใด ซึ่งทั้งหมดจะต้องนำส่งเอกสารภายใน 15 วัน โดยก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. เป็นผู้ดำเนินการ แต่เมื่อพบว่าเข้าข่ายให้ทาง ปปป. มีอำนาจเข้าไปสอบสวน จึงนำส่งพยานหลักฐานและสำนวนให้ ปปป. ดำเนินการสอบสวน และเมื่อหากคดีเสร็จสิ้น และพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องในคดี ทางพนักงานสอบสวน ปปป. จะต้องเร่งสรุปสำนวนส่งให้อัยการ และแจ้งให้ทาง ป.ป.ช. รับทราบ นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่องของการทิ้งเงินของกลางของผู้ต้องหา หรือการแขวนเงินไว้ที่รั้วบ้านผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนได้สอบถามในประเด็นดังกล่าวเช่นกัน และถามในทุกๆ พฤติการณ์ตามหมายจับคดี แต่ผู้ต้องหาให้การเพียงบางส่วน และยังขอละเว้นไม่ให้การในบางประเด็น โดยผู้ต้องหาจะให้การอะไรก็ได้ในชั้นสอบสวน แต่เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ไปรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ แต่ดูแล้วตอนนี้ก็ค่อนข้างแน่นพอสมควร และเราจะใช้ความยุติธรรมในการสอบสวน ผู้ต้องหาจะให้การอะไรก็ยินดีรับฟังทั้งหมด ส่วนหากผู้เสียหายต้องการให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนก็พร้อมรับเข้าสำนวนเช่นกัน ส่วนกรณีภรรยานายศรีสุวรรณ เบื้องต้นยังไม่มีความผิดร่วมด้วย พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสืบสวนต่อไป และถ้ามีความชัดเจนคืบหน้าอย่างไร ตนจะมอบหมายให้คณะทำงานมาแถลงความคืบหน้าแก่สาธารณะให้รับทราบร่วมกัน.