จน ผู้กองธรรมนัส”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ยอมถอยว่าจะคืนพื้นที่ที่เป็นปัญหาให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดูแล เพื่อจัดทำเป็นบัพเฟอร์โซนและป่าชุมชนให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการดูแล ไม่ว่าผลการพิสูจน์ของกรมแผนที่ทหาร ซึ่งทางรัฐบาลคิดว่าเป็นหน่วยงานกลางจะออกมาว่าอย่างไร 

แล้วก็ไปเป็นตามการคาดการณ์ของสังคมที่เฝ้าจับตากรณีที่เกิดขึ้น เมื่อกรมแผนที่ทหารทำงานฉับไวเร็วกว่ากำหนด โดยรายงานนายกฯ ว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขต ส.ป.ก. ทำให้ปมความขัดแย้งระหว่างกรมอุทยานฯ กับ ส.ป.ก.ปะทุหนักบานปลายขึ้นอีกระลอก

เมื่อหมูไม่กลัวน้ำร้อนอย่างชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักอุทยานฯ ดับเครื่องชนผู้มีอำนาจทั้งหลาย ออกมาประกาศไม่ยอมรับผลการพิสูจน์แนวเขตของกรมแผนที่ทหาร ยืนยันว่าพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ ขอเจ้าใหญ่นายโตทั้งหลายไปศึกษากฎหมายที่ดินป่าไม้มาให้ถ่องแท้ ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องจบที่ศาล อยากจะขอโอกาสพบนายกฯ เพื่อชี้แจง พร้อมกับปูดว่ามีผู้ใหญ่โทรฯมาเคลียร์ในเรื่องปมปัญหาที่เกิดขึ้น 

ฟาก “ดำรงค์ พิเดช” อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ  ย้ำว่ากรมแผนที่ทหารไม่ใช่ศาลและไม่ใช่กฎหมายที่จะมาชี้ว่าพื้นที่เป็นของใคร ยืนยันว่าพื้นที่นี้อยู่ในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ ตราบใดที่ยังไม่มีมติ ครม.เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาประกาศเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ 2505 แม้มีการประกาศพื้นที่ ส.ป.ก.คลุมก็ไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ ที่สำคัญหากยังมีสภาพป่าสมบูรณ์ก็ต้องคืนพื้นที่ให้กรมอุทยานฯ หรือกรมป่าไม้ด้วย

ขณะที่กรมอุทยานฯ ออกแถลงการณ์สู้ ยืนยันความถูกต้องของแนวเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ เป็นไปตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ ถูกต้องตามกฎหมาย เคลียร์จบในชั้นคณะกรรมการวันแม็พแล้วโดยไม่มีข้อโต้แย้งจาก ส.ป.ก. และขอให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติชี้ขาดพื้นที่พิพาทระหว่างหน่วยงานที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ สำทับด้วยเอกสารจาก คณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎรที่ ส.ป.ก.ยอมรับเองว่าพื้นที่พิพาทนี้อยู่ในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ส.ป.ก. กลับลำออกโรงแถลงการณ์สวนกลับ ยืนยันว่าเป็นผู้ถือสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน และจะยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายทุกประการ

ทั้งนี้ในวันที่ 4 มี.ค.นี้ กระทรวงทรัพยากรฯและกระทรวงเกษตรฯ จะแถลงข่าวเรื่อง “การแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในเขตป่า”ร่วมกัน จึงต้องจับตากันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 กระทรวง ที่มีรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองเดียวกัน คือพรรคพลังประชารัฐจะลงเอยอย่างไร และจะเขย่าไปถึงเก้าอี้ “ครม.เศรษฐา 2” หรือไม่.