เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. พล.ต.ต.ม.ล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1 และหน่วยงานที่มีเกี่ยวข้อง ร่วมในการแถลงผลการปฏิบัติงาน บุกจับกุมตัวคนร้ายชาวจีน ฉกทรัพย์ชาวอินเดีย ภายใน 5 ชั่วโมง

สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 มี.ค. นายฮาซาด พานดูราน ชาวาน นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย สัญชาติอินเดีย ได้เข้ามาแจ้งกับตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยแจ้งว่าตนได้ขึ้นเครื่องเดินทางมาจากเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบิน VISTARA เที่ยวบิน UK123 ครั้นเมื่อลงจากเครื่อง ก็ได้สำรวจกระเป๋าสัมภาระที่สะพายอยู่ พบว่านาฬิกาโรเล็กซ์ จำนวน 1 เรือน ธนบัตรไทยจำนวน 98,000 บาท และธนบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 2,800 ดอลลาร์ ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายได้หายไป จึงได้เข้ามาพบกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เพื่อขอความช่วยเหลือ

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว กก.3 บก.ทท.1 (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ได้รับแจ้งเหตุดังกล่าว จึงได้สืบสวนจนทราบว่า ก่อนนักท่องเที่ยวจะลงเครื่อง มีคนร้ายลักเอาทรัพย์สินไป ในขณะที่เก็บไว้บนช่องเก็บของของผู้โดยสารที่อยู่เหนือศีรษะบนเครื่องบิน และได้สังเกตเห็นคนร้ายผู้ก่อเหตุ เดินมาเปิดที่ช่องเก็บของ ที่ผู้เสียหายได้วางกระเป๋าที่เก็บทรัพย์สินไว้ โดยตรงกันกับการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่สายการบิน VISTARA และเมื่อคนร้ายลงจากเครื่องแล้ว ก็ได้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะรู้ตัว

เมื่อตำรวจท่องเที่ยวได้ทราบถึงพฤติการณ์ และรายละเอียดทั้งหมด จึงได้เร่งออกสืบสวนและได้ประสานงานกับภาคีเครือข่าย อาทิ ฝ่ายรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, เจ้าหน้าที่สายการบิน, เจ้าหน้าที่โรงแรม, แท็กซี่พลเมืองดี ตลอดจนสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมสืบสวนติดตามตัวผู้ก่อเหตุในทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ได้สืบสวนจนกระทั่งได้ความคืบหน้าของข้อมูลคนร้ายที่ก่อเหตุ และพบว่าผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไปเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 20 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

ต่อมาในวันเดียวกัน พ.ต.ต.เสกสันติ์ ฐิรเรืองรัตน์ สว.กก.3 บก.ทท.1 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ทำการร่วมกันเข้าจับกุมตัว นายอี้ เซียงหยาง อายุ 48 ปี สัญชาติจีน โดยพบผู้ต้องหาเดินลงมาที่บริเวณล็อบบี้โรงแรม จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมขอตรวจค้น พบของกลางดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายที่คนร้ายผู้ก่อเหตุสะพายอยู่ โดยมี นาฬิกายี่ห้อ Rolex รุ่น Sea-Dweller ตัวเรือนสีเงิน หน้าปัดสีดำ Serial number หมายเลขตัวเรือน J389U361 จำนวน 1 เรือน และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 2,800 ดอลลาร์สหรัฐ จึงได้นำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี

เบื้องต้นจึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ในท่าอากาศยานหรือในยวดยานสาธารณะหรือรับของโจร” ก่อนที่จะนำทรัพย์สินดังกล่าว ส่งคืนให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียในขั้นต่อไป

ขณะที่ นายกิตติพงศ์ เปิดเผยว่า สนามบินสุวรรณภูมิให้ความสำคัญในเรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยทุกมิติภายในสนามบิน ไม่ว่าจะจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจการท่า ทั้งในและนอกเครื่องแบบ คอยตรวจตราและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารแล้ว สนามบินสุวรรณภูมิยังเพิ่มเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุมสนามบิน ซึ่งปัจจุบันติดตั้งกล้องวงจรปิดไปแล้วกว่า 8 พันตัว ซึ่งกล้องวงจรปิดมีความสำคัญ และจะเห็นได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญในคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามบิน แม้แต่การติดตามทรัพย์สินของผู้โดยสารที่สูญหายหรือหลงลืม จึงอยากฝากเตือนผู้ที่คิดจะมาก่อเหตุในสนามบิน โปรดจงรับรู้ว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะเข้ามาก่อเหตุไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สุดท้ายไม่รอดการติดตาม อย่างการจับกุมตัวชาวจีนที่ขโมยทรัพย์สินบนเครื่องบินรวมมูลค่ากว่าล้านบาท.