เมื่อวันที่ 12 มี.ค.67 นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 63 ปี เจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสอง นำเอกสารพร้อมหลักฐานการโอนเงินเดินทางเข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.อภิศักดิ์ โชติกเสถียร ผกก.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ถูกเพื่อนสาวคนสนิทอายุ 39 ปี ซึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล สังกัดอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ออกอุบายนำสำเนาบัตรประชาชนอ้างว่าเป็นของเพื่อนร่วมงานรวมทั้งหมด 680 คน ทยอยมามอบให้ อีกทั้งยังอ้างอีกว่าเพื่อนร่วมงานต้องการหยิบยืมเงิน ซึ่งแต่ละคนต้องการใช้เงินคนละประมาณ 30,000-60,000 บาท โดยมีการโอนเงินกันตั้งแต่ปี 2563 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 สุดท้ายต้องเจ็บช้ำไม่ได้คืนเเม้เเต่บาทเดียว ด้านพยาบาลสาวไหวตัวทันชิงลาออกจากงาน ติดต่อไม่ได้ สูญเงินกว่า 38 ล้านบาท

นายเอ กล่าวว่า เมื่อประมาณปี 63 มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เข้ามาตีสนิท กระทั่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน จากนั้นได้มาขอยืมเงินบอกว่าจะไปปล่อยกู้ โดยครั้งเเรกโอนไปให้ 500,000 บาท และต่อมาก็โอนเงินคืนมาให้บางส่วน ครั้งที่สองเอาไปอีก 1 ล้านบาท แต่ก็มีการจ่ายคืนมาบางส่วน ซึ่งตั้งแต่ปี63 ตนโอนให้ทุกเดือน โดยบอกว่าแต่ละเดือนจะมีคนมาขอหยิบยืมเงินเพิ่มขึ้นตลอด รายละประมาณ 30,000-60,000 บาท รวมทั้งหมด 680 ราย โดยมีหลักฐานเอกสารสำเนาบัตรประชาชนและสัญญาเงินกู้ ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้างมาให้กับตนไว้ อ้างว่าเป็นของคนที่โรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ ซึ่งยอดรวมขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 38 ล้านบาท

นายเอ เล่าอีกว่า ที่ผ่านมาได้ติดต่อพูดคุยกันมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตนเเจ้งกับพยาบาลสาวว่า ขณะนี้ยอดเงินสูงแล้วให้หยุดทุกอย่างไว้ก่อนแล้วขอให้ส่งมอบเงินคืนทั้งหมด ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา แจ้งกลับมาว่าไม่มีเงินจ่ายคืนให้เพราะเอาเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวหมดแล้ว ซึ่งเงิน 38 ล้านนั้นเป็นเงินทบต้น ทบดอก และเป็นเงินที่เติมให้ตอนที่เอาไปให้เพื่อนร่วมงานยืม โดยเงินต้นทั้งหมดมีประมาณ 10 กว่าล้าน ตอนนี้หมดตัวเเล้ว ไม่สามารถติดต่อพยาบาลคนดังกล่าวได้เลย จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความเพื่อต้องการดำเนินคดีกับพยาบาลสาวรายนี้ให้ถึงที่สุด และเรียกร้องทรัพย์สินทั้งหมดกลับคืนมา ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวตนใช้เวลาเก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิต ตอนนี้อายุ 63 ปีแล้ว คิดว่าจะเอาเงินไปใช้ในบั้นปลายชีวิต สุดท้ายนี้อยากจะฝากไปถึงพยาบาลสาวว่า ให้รีบติดต่อกลับมาโดยด่วน เพราะถ้าเงียบหายไป ก็จะขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

พ.ต.ท.เฉลิมพล ซื่อสัตย์ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ปากเกร็ด กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้ร้องเอาไว้ก่อนซึ่งคดีนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนแต่อย่างใด แต่จะต้องทำการรวบรวมพยานหลักฐานให้มากที่สุด ก่อนออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำ รวมไปถึงพยานที่เป็นเจ้าของบัตรประชาชนที่ถูกกล่าวอ้างนำมาใช้หลอกลวงในครั้งนี้ว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรหรือมีการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จมาก่อนหรือไม่และเป็นการปล่อยเงินกู้จริงหรือเปล่าเพื่อดูว่าเข้าข่ายความผิดอะไรบ้างก่อนดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป