สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ว่า การปราบปรามอย่างโหดร้ายต่อกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2554 ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ ที่ดึงดูดทั้งกองทัพต่างชาติ และกลุ่มจีฮัดจากต่างประเทศ

องค์กรสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย (เอสโอเอชอาร์) ซึ่งตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร ระบุว่า พลเรือนมากกว่า 164,000 คน รวมถึงผู้หญิงมากกว่า 15,000 คน และเด็ก 25,000 คน ถูกสังหารในสงครามกลางเมืองซีเรีย อีกทั้งกำลังพลมากกว่า 343,000 คน ซึ่งมีทั้งทหารของกองทัพ, นักรบจากกลุ่มสนับสนุนอิหร่าน, กองกำลังที่นำโดยชาวเคิร์ด และกลุ่มจีฮัด ก็อยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตเช่นกัน

แม้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ค่อย ๆ ยึดคืนดินแดนซึ่งสูญเสียไปในช่วงแรกของสงคราม โดยได้รับความช่วยเหลือจากพันธมิตรอย่างอิหร่าน และรัสเซีย แต่พื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ ยังคงอยู่นอกการควบคุมของรัฐบาล

อนึ่ง สหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า ในปีนี้ ผู้คนในซีเรียต้องการความช่วยเหลือ หรือการคุ้มครองด้านมนุษยธรรมบางประเภท มากถึง 16.7 ล้านคน ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการณ์เริ่มขึ้นเมื่อปี 2554

นอกจากนี้ ซีเรียยังมีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศประมาณ 7.2 ล้านคน และสงครามได้ทำลายเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมของประเทศ อีกทั้งการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก และเหตุแผ่นดินไหว เมื่อเดือน ก.พ. ปีที่แล้ว ทำให้ประเทศประสบปัญหาและความทุกข์ยากเพิ่มขึ้น

ด้านนายซูแฮร์ ซักกูต โฆษกของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) ในกรุงดามัสกัส กล่าวว่า สงครามที่ดำเนินมานาน 13 ปี ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชาวซีเรียทั่วประเทศ และทำให้เกิดความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้.

เครดิตภาพ : AFP