เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่อนาคารอนาคตใหม่ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 สัดส่วนพรรคก้าวไกล โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และนายชยพล สท้อนดี สส.กทม. จัดแถลงข่าว Policy Wach ในหัวข้อ “รวบตึงงบฯ 67 จากห้อง กมธ.”

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ปีนี้ กมธ. ทำงานกันค่อนข้างกระชับ เพราะงบประมาณออกมาล่าช้ากว่า 6 เดือน ทำให้มีการใช้งบไปพลางก่อน โดยส่งของบฯ 3.185 ล้านล้านบาท แต่ ผอ.สำนักงบประมาณอนุมัติไปทั้งสิ้น 58.8% หน่วยงานก็ใช้จ่ายไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสภาพิจารณาเงินก้อน 3.48 ล้านล้านบาท ก็พบว่ามีเกือบ 2 ล้านล้านบาท ที่ถูกอนุมัติใช้ไปแล้ว เท่ากับว่าสภามีอำนาจในการพิจารณาจริงจังและปรับลดได้เพียง 41% เท่านั้น ทำให้พิจารณาได้เร็ว แต่ก็พบช่องโหว่ว่าจะทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141 และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณก็ตาม แต่สิ่งที่พบก็คือตอนที่มีการอนุมัติหลักเกณฑ์ว่าใช้อะไรได้หรือใช้อะไรไม่ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ เป็นผู้รับผิดรับผิดชอบในเรื่องนี้ แต่เมื่อหน่วยงานส่งแผนงบฯ เข้ามาคนที่อนุมัติก็คือ ผอ.สำนักงบฯ ทั้งๆ ที่มาจากการแต่งตั้ง

ดังนั้น เราจึงคิดว่านี่เป็นช่องโหว่ซึ่งความจริงแล้ว แผนงานต่างๆ ที่สภาไม่มีโอกาสเข้าไปตัดเข้าไปยุ่งอะไรแล้ว ควรจะได้รับการอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือนายกฯ เพื่อให้เกิดความรับผิด รับชอบในตัวงบฯ ที่สภาไม่สามารถเข้าไปพิจารณาได้ ไม่สามารถเข้าไปปรับลดได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ในการพิจารณาของอนุกรรมาธิการงบฯ ต่างๆ ที่มีการตัดงบฯ ไปแล้ว ต้องคืนให้ภายหลัง เพราะหน่วยงานนั้นมีการใช้งบไปพลางก่อนแล้ว ดังนั้น นี่คือความพิเศษของปีงบประมาณนี้ แล้วอนาคตมีโอกาสที่จะตั้งรัฐบาลช้า จึงขอให้เป็นบทเรียนว่า ในการอนุมัติแผนงานการใช้งบไปพลางก่อนควรเป็น ครม.

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตามปกติคณะกรรมาธิการงบประมาณซึ่งมีประมาณ 70 กว่าคน จะแต่งตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมาทำงานแทน ลงรายละเอียดในรายโครงการ ทำให้มีคำพูดว่าแบ่งตามผู้รับเหมาเฝ้าห้องแต่ละห้องงบฯ ซึ่งปีนี้เราพยายามผลักดันให้แบ่งอนุฯ ตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบฯ ซึ่งจะล้อกับยุทธศาสตร์ชาติ แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้มีการแบ่งตามกระทรวงฯ ทำให้อนุฯ มีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของรัฐมนตรีที่กำกับกระทรวงนั้นๆ ทำให้มีข้อห่วงใยว่า จะมีการปกป้องผลประโยชน์ของรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งจากการสังเกตการณ์จะเห็นว่า บางอนุฯ มีผู้ที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นตัวรัฐมนตรีเองหรือรัฐมนตรีช่วย แม้กระทั่งเลขานุการรัฐมนตรีก็จะมานั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย อาจจะเป็นในฐานะอนุกรรมาธิการบ้างหรือผู้สังเกตการณ์ ที่เป็น สส. ก็มี ซึ่งเราไม่เห็นด้วย และเป็นบทเรียนในปีหน้าว่า จะไม่มีการจัดอนุฯ เช่นนี้อีก นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ในการจัดงบฯ จะทำในช่วงสัปดาห์สุดท้าย หรือวันสุดท้าย เช่น รายการใหญ่อย่างเรือฟริเกต ก็ตัดวันสุดท้าย การก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา กองทัพเรือก็ถูกตัดวันสุดท้าย แต่มีการอุทธรณ์และคืนงบไป ยังมีอีกหลายรายการที่ตัดในห้อง กมธ.ใหญ่ ในส่วนแผนบูรณาการถูกตัดงบฯ มากที่สุด กว่า 3 พันล้านบาท เนื่องจากไม่มีเจ้าที่ ไม่มีเจ้าภาพ แต่สุดท้ายก็มีการอุทธรณ์และคืนงบฯ ให้

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า โดยสรุปแล้วทั้ง 8 อนุกรรมาธิการตัดงบฯ ได้ 9,204 ล้านบาท ตามประเพณีปฏิบัติทั่วไป ก็จะส่งต่องบฯ ส่วนที่ตัดได้ไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาของบเพิ่ม โดยจะไปลงงบกลาง ซึ่งกระทรวงที่ได้เพิ่มคือ กระทรวงแรงงาน 500 บาท ซึ่งจะเป็นการใช้หนี้ที่รัฐค้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมกว่า 7 หมื่นล้านบาท เพราะไม่เคยจ่ายเลย แถมยังไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย ทั้งที่ผู้ประกันตนต้องถูกบังคับจ่ายทุกเดือนโดยการตัดจากเงินเดือน ส่วนกระทรวงที่ถูกตัดงบฯ เยอะสุดคือกลาโหม โดยตัดโครงการซื้อเรือฟริเกต และตัดงบฯ กระทรวงมหาดไทยโครงการฝายดินซีเมนต์ เป็นต้น

ทั้งนี้ การที่อยากให้งบฯ กลางในตอนอภิปรายวาระ 1 ซึ่งจะพบว่า งบที่ตั้งไว้เกือบ 300,000 ล้าน ใช้ไม่ได้จริงทั้งหมด เพราะต้องชดใช้เงินคงคลังกว่า 1.2 แสนล้านบาท จากปัญหาการตั้งงบฯ ไม่เพียงพอในปีที่ผ่านๆ มา ทำให้ต้องไปดึงเงินตรงนั้นมาใช้ เช่น ตั้งงบบำเหน็จ บำนาญ ขาดเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ค่ารักษาข้าราชการ ขาดไป 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งแต่สำนักงบฯ กลับเสนอมาเพียงอย่างละ 1 หมื่นกว่าล้านบาท เมื่อขอมาจึงแบ่งให้ได้น้อย  และต้องส่งไปสำหรับการใช้จ่ายฉุกเฉินกว่า 1 พันล้านบาท   

นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า การที่ตัดงบฯ โครงการฝายดินซีเมนต์กว่า 1.2 พันล้านบาท เพราะเห็นว่า มีข้อเสียมากกว่าข้อดี ส่อแววทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมี 8 เหตุผลคือ 1.เป็นโครงการแจกเสื้อโหล แบ่งเป็นโครงการขนาด 1 มตร 1.5 เมตร และ 2 เมตร เป็นฝายกลางน้ำ หลายแห่ง 2. มีความเร่งรีบอย่างผิดสังเกต โดยให้เวลาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 12 วัน ในการเลือกสถานที่ทำแบบก่อสร้าง ประมาณราคา ใช้คอมมอนเซนส์ได้ไม่ยาก หากไม่มีพื้นที่หรือรู้กันมาก่อน ใครจะทำได้ทัน 3. มีการแทรกแซงกระบวนการพิจารณางบฯ ชัดเจน โดยสำนักงบฯ ถูกผู้มีอิทธิพลครอบงำทำให้ไม่ได้ตรวจสอบอย่างครบถ้วนบนมาตรฐานเดียวกันกับโครงการอื่น มีการลัดขั้นตอน ไม่ตรวจเอกสาร เหมือนเปิดไฟเขียวตามใบสั่ง 4. หลายโครงการที่ต่ำกว่า 5 แสนบาท เล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขัน สามารถจิ้มเลือกผู้รับเหมาได้ 5.มีความจงใจหลีกเลี่ยงการประกันผลงาน 2 ปี 2 ปี 6.ไม่มีใบอนุญาตมาแสดง 7. อ้างว่าเป็นฝายชั่วคราว แต่มีราคาแพง และหากพังจะเป็นการทิ้งผลพิษกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีใครเป็นผู้รับผิดชอบ และ 8. หน่วยงานจำนนต่อเหตุผล และไม่มีการอุทธรณ์ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ตนมีข้อสังเกต 4 ข้อ คือ 1. มี สว. และ สส.เพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง อยู่เบื้องหลังการตั้งงบฯ ทำฝายดังกล่าว ทำให้มีคนดิ้นกันมาก และโจมตีเรา 2. มีการโฆษณาเกินจริง ว่าทำฝายแล้วจะดี เพราะเก็บน้ำได้ แต่ที่จริงเก็บได้น้อย กระทบคนปลายน้ำมีน้ำไม่พออุปโภคบริโภค 3.การใช้ดินผสมซีเมนต์ทำได้ยากในทางปฏิบัติ ถ้าจะทำชั่วคราวจะนิยมทำด้วยวัสดุที่ย่อยสลาย อีกทั้งยังมีปัญหาทางเทคนิด คือการเซ็นแบบการควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ ก็ไม่ได้รับความชัดเจนจากหน่วยงานว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร มีแต่การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบโดยอ้างความเป็นฝายชั่วคราว และ 4. ฝายดินซีเมนต์จะเปลี่ยนสภาพลำน้ำเป็นขั้นบันไดที่สามารถพังทลายได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะหน้าฝน ส่วนหน้าแล้งเก็บน้ำได้ไม่พอทำเกษตร อีกทั้งทำให้พื้นที่ท้ายน้ำขาดแคลน

“ขอยืนยันว่า ควรกระจายงบให้ท้องถิ่นไปจัดการเอง ฝายสร้างได้ แต่ต้องเลือกตำแหน่งที่ตั้ง ขนาด เลือกวัสดุ วิธีการเพื่อทำให้ดี ไม่ใช่แจกเสื้อโหล 5 แสนบาทแล้วไปหากินกันเหมือนโครงการนี้” นายสุรเชษฐ์ กล่าวและว่า ขอยืนยันว่า ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่เข็มแข็งตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลต่อไป ไม่ให้ใช้ในทางมิชอบ หากพรรคก้าวไกลไม่ถูกยุบไปก่อน ซึ่งเข้าใจดีว่า ทำไมมีคนบางกลุ่มอยากยุบก้าวไกล  

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสงสัยว่าการโยกงบไปอยู่ที่งบกลางนั้น เป็นเพราะจะนำไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เงินที่โยกไปแค่ 1 พันล้านบาท เพื่อเทียบกับดิจิทัลวอลเล็ตที่ต้องการกว่า 5 แสนล้าน จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะเอาไปทำอย่างอื่นมากกว่า นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ดิจิทัลวอลเล็ตจะไม่เกิดขึ้นภายในงบ 67 แน่นอน เพราะยังไม่มีแหล่งที่มาของเงินที่ชัดเจน และจนถึงวันนี้ครบ 30 วัน หลังมีการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ และไม่มีการนัดประชุมอีก ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง บอกว่า คณะอนุกรรมการยังทำงานไม่แล้วเสร็จ ซึ่งไม่แน่ใจว่าที่ไม่แล้วเสร็จ เพราะไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจจากการไปรับฟังภาคส่วนต่างๆ ใช่หรือไม่

เมื่อถามว่า มองว่า เป็นการหาทางลงของรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรายืนยันมาตั้งแต่ต้นว่า รัฐบาลเลือกเส้นทางที่ลุยไฟมากที่สุด วันนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า ไม่มีทางที่จะไปต่อแล้ว และน่าจะกำลังหาทางลงอยู่ตามที่มีหลายคนตั้งข้อสังเกตไว้ และคิดว่า แม้จะไม่ได้ทำโครงการนี้ แต่รัฐบาลคงไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะจากที่ทำโพลออกมา ประชาชนอาจจะเสียใจ แต่ก็ไม่โกรธรัฐบาล