เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ที่พรรคเพื่อไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ลาราชการครึ่งวัน เพื่อเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค ซึ่งช่วงเช้าเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารพรรค และแกนนำพรรค

ก่อนเริ่มบรรยายพิเศษ ได้มีการฉายวีดีทัศน์จุดเริ่มต้นของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ยุค นายทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาถึงยุคของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น.ส แพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐาโดยพบว่าเนื้อหาในวิดีทัศน์นั้น มีการพูดถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ต่อยอดมาจากพรรคไทยรักไทย รวมถึงนโยบายใหม่ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ผ่านบทสัมภาษณ์ นายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย น.ส.แพทองธาร และ นายเศรษฐา

ซึ่งบางช่วงนายทักษิณ ระบุว่า ตนเป็นคนเกิดบ้านนอกและเห็นชีวิตของคนต่างจังหวัด กลับบ้านกี่ที ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางบ้านก็ยากจนต้องเก็บเงินไว้รักษายามเจ็บป่วย เราเป็นนักธุรกิจ เริ่มตนจากการไม่มีอะไรเลย จนประสบความสำเร็จและทำให้ครอบครัวมีฐานะดี ตนจึงคิดว่า น่าจะเอาหลักการเดียวกัน ไปทำให้คนทั้งประเทศดีขึ้นได้ “ช่องทางที่ดีที่สุดคือการเข้ามามีอำนาจในทางการเมือง” ไม่เช่นนั้นก็คงทำไม่ได้

นายทักษิณ กล่าวต่อว่าพรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหาว่า เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ ซึ่งตนบอกได้เลยว่า อันนี้ไม่ได้อยู่ใน DNA ของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคไทยรักไทย แต่พรรคเพื่อไทยจริงๆที่เกิดจากพรรคไทยรักไทย คือ พรรคที่รีฟอร์มเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบประกันสุขภาพ และอีกหลายเรื่องเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมดที่พรรคเพื่อไทยทำมา แล้ววันนี้พรรคเพื่อไทยกำลังจะทำ มาดิจิทัลวิลเล็ต “อันนี้โคตรใหม่เลย ไม่ใช่ใหม่ธรรมดา โลกมันหมุนไปโลกมันเปลี่ยนไป เรื่อยเรื่อยก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยต้องเข้าใจว่าสังคมวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว การเข้าถึงประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ จะเข้าถึงด้วยทางกายภาพหรือด้านสื่อก็ต้องเข้าถึง เพราะฉะนั้นอย่าเป็นคนที่ไม่เข้าถึงประชาชน แล้วก็แน่นอนว่าการสะท้อนปัญหาในสภาได้แม้เป็นผู้บริหารจึงอยากให้ สส. พรรคเพื่อไทย เข้าถึงประชาชน ส่วนการทำงานในสภาก็ต้องเข้มแข็งและสำคัญที่สุดคือหัวใจถ้าเราเป็นนักการเมืองที่ดีได้ต้องเป็นนักการเมืองที่รักประชาชน ประชาชนเดี๋ยวนี้มองตาเราก็รู้ว่าเรามีเมตตาธรรม หรือเป็นคนถือตัว ไม่สนใจชาวบ้านเขามองออก เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะอยู่กับความรู้สึกของชาวบ้านจะมาเสแสร้งแค่ไม่กี่วันหรือ หนึ่งเดือนก่อนจะเลือกตั้งเค้ารู้หมดเพราะฉะนั้นเราต้องอยู่กับชาวบ้านให้ได้

นายทักษิณ ยังพูดถึงนายเศรษฐา ว่าตนมั่นใจว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำพาประเทศได้ เป็นนักบริหารที่มีประสบการณ์มาก การบริหารอยู่ในกรุงเทพแต่การที่มีเครือข่าย ส่งเสริมสนับสนุน ช่วยเหลือ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเหมือนกัน ตนเป็นคนบ้านนอกมาเป็นนายกฯวันนั้น ก็ไม่มีเครือข่ายในกรุงเทพ ถือเป็นจุดอ่อน ดังนั้นมันมีจุดอ่อนจุดแข็ง ซึ่งเป็นการวางตัวของพรรคเพื่อไทยที่เห็นว่านายเศรษฐาเหมาะสมที่จะลงไปในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่าน และมีหลายพรรคการเมืองแบบนี้ นายเศรษฐาน่าจะทำได้ดี และตนมั่นใจว่า น.ส.แพทองธาร สามารถที่จะนำทีมพลิกเกมได้ไม่ยาก เพราะเป็น DNA ระหว่างตนกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่ผสมกัน จึงเอาส่วนที่เข้มแข็งอดทนเด็ดขาดจะมาจากคุณหญิง และเอาส่วนที่ต้องเดินหน้าพบปะผู้คน การเมืองแล้วเข้าใจการเมืองมาจากตน เขาก็เรียนรู้จากแม่จากพ่อมาเพราะเขาเป็นลูกคนเล็ก จึงเชื่อว่าเขาเป็นผู้นำที่ดีได้ไม่ได้เชียร์ลูก ตนทำได้DNA ตนก็ต้องทำได้ และมี DNA จากคุณหญิง ด้วยดังนั้นก็จะทำได้ดีกว่าตน

ขณะที่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก็พบว่าโหวตเตอร์ของเรายังเลือกเราอยู่ ทำให้ตนรู้ว่า “แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาพรรคเพื่อไทยเพื่ออะไร ถึงเวลาแล้วที่แพทองธาร ชินวัตร อยากทำเพื่อพรรคเพื่อไทย และทำเพื่อคนที่สนับสนุนเรามาตลอดไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม”

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทำให้เราสะท้อนตัวเองหลายอย่าง ได้ทราบแรงกดดัน และทราบเงื่อนไขและสิ่งที่มันเปลี่ยนไป แน่นอนว่าอิ๊งค์นำพรรคหาเสียงเป็นครั้งแรก แล้วแพ้เลือกตั้ง แต่ถ้าไม่ไหวแล้วคนอื่นจะไหวยังไงต่อ ดังนั้น จึงต้องรีบดูแลตัวเองดูแลจิตใจ และไปต่อให้ได้ การเป็นแบบนี้พร้อมบอกคนในพรรคว่าเมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองเป็นแบบนี้ ซึ่งเราก็ไม่ได้ชอบระบบแบบนี้ หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ที่เราชนะการเลือกตั้ง เราก็ฟอร์มรัฐบาลไม่สำเร็จ นั่นก็คือบทเรียนหนึ่งของเรา มาวันนี้เรามาเป็นอันดับสองห่างกัน 10 ที่นั่ง ตอนนั้นยังไม่ถึงหน้าที่ของเรา เราก็ซัพพอร์ตเต็มที่ เพราะเรารู้ดีว่าการที่เป็นพรรคอันดับ 1 แล้วฟอร์มรัฐบาลไม่ได้เป็นอย่างไร แต่เมื่อตอนนั้นฟอร์มรัฐบาลไม่สำเร็จ มันก็มาถึงเรา พอมาถึงเรา เราก็ต้องฟอร์มให้สำเร็จ

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ตนเองคิดว่าตนเป็นผู้นำของทุกคนในพรรค และตนต้องการเข้าใจคนในพรรคและเข้าใจโหวตเตอร์ การที่ตนเองจะนำได้ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ลุกมาแล้ว จะเดินไปทางแล้ว ทุกคนจะต้องเดินตาม หากทำเช่นนั้น ตนคิดว่าคนที่ตามจะเหนื่อย แล้วไม่อยากจะตาม แต่ตนอยากจะเป็นผู้นำที่เข้าใจทุกคน ทุกกลุ่ม และสถานการณ์ในภาพรวม พอเขาตามแล้ว อยากให้คนที่เดินตามมีความสุขกับตนเองและรู้สึกปลอดภัยรู้สึกมีส่วนร่วม จึงทำให้ตนเองรู้สึกว่า เรานำคนเดียวไม่ได้ แต่ทั้งหมดต้องไปด้วยกันพรรคเพื่อไทย จะยิ่งใหญ่ไม่ได้ถ้าขาดบุคคลหรือแผนกใดแผนกหนึ่งที่ทำเพื่อพรรคอยู่ตอนนี้

น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวอีกว่า ตนเชื่อ การทำนโยบายให้สำเร็จคือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยมีมาตลอดตั้งแต่พรรคไทยรักไทย บางอย่างอาจยังไม่สำเร็จทันที แต่เราไม่เคยทิ้ง

ด้านนายเศรษฐา กล่าวว่า คนเราต้องมีมีกินมีใช้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ตนไม่ปฏิเสธเลย ว่ามีพอและครอบครัวสบาย สบายกายแต่ไม่สบายใจ เราอยู่จุดสูงสุดของพีระมิด เราอยู่ในบ้านใหญ่ๆแต่ถูกล้อมรอบด้วยคนที่ไม่มีความสุข มันจึงเป็นจุดผลักดันสำคัญที่อยากเข้ามา และนำความเปลี่ยนแปลงมาให้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นในทุกมิติ ขนาดนี้ตนคิดว่าอายุขนาดนี้เหมาะสมแล้ว เพราะสะสมประสบการณ์มาพอสมควรได้เห็นอะไรมามากและไม่ตัดสินใจโดยพละการ ให้ทุกเหตุการณ์สุกก่อนแล้วค่อยทำใหม่

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ต ว่าวันที่ 10 เม.ย.นี้ จะมีความชัดเจน และเงินจะถึงกระเป๋าของพี่น้องประชาชนในช่วงสิ้นปี ลองจินตนาการดู ถ้ามีเงินเข้าสู่กระเป๋าของทุกคนคนละ 10,000 บาท 50 ล้าน คน ก็ 5 แสนล้านบาท คนที่ผลิตสินค้าก็ลองคิดดูว่าจะผลิตไหม ยกตัวอย่างเช่น 1 ต.ค. มีเงินเข้ากระเป๋าตนเชื่อว่าทุกคนผลิตหมด เกิดการซื้อวัตถุดิบ การจ้างงาน จะเกิดสึนามิการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สำคัญที่สุดคือทุกคนมีศักยภาพทุกภาคส่วนมีศักยภาพหมด แต่ต้องการขับเคลื่อน ต้องการผู้นำที่ดึงเอาศักยภาพเหล่านั้นออกมาให้ได้ แต่องค์ประกอบมีความแตกต่างกันระหว่างภาคเอกชนกับภาคการเมือง แต่เมื่อมาอยู่ภาคการเมืองมีหลายภาคส่วน เมื่อจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงภาพรวมมากขึ้น การพูดอะไรจะตรงไปตรงมามากนักก็ไม่ได้ และแน่นอนว่าคนที่ขับเคลื่อนคือข้าราชการ ซึ่งเป็นคนที่มีศักยภาพแต่ 8-9 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้เร่งการทำงานมากนัก