รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิจัยอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์กองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู และพีดีพี ยึดจังหวัดเมียวดี ของเมียนมาตรงข้ามแม่สอดสำเร็จว่า เบื้องต้นประเมินว่า การค้าชายแดนของไทย-เมียนมา ซึ่งมีมูลค่าการค้านับแสนล้านบาท มูลค่าส่งออกหลายหมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ 80% เป็นสินค้าอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะอาหาร อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งนานขึ้น เข้มงวดขึ้น มีขั้นตอนมากขึ้น เช่น จากเดิมรัฐบาลเมียนมา ได้ทำข้อตกลงกับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) และกองกำลังปกป้องประชาชน (พีดีเอฟ) เวลาส่งสินค้าจากประเทศไทย ไปยังเมียนมา จะผ่านด่านตรวจของกองกำลังกะเหรี่ยงฯ เท่านั้น แต่ต่อไปต้องผ่านกองกำลังกะเหรี่ยงฯ แล้ว รัฐบาลเมียนมาต้องตรวจสินค้าเข้มขึ้นว่า เป็นอาวุธ หรือมีสินค้าอะไรเกี่ยวกับภัยความมั่นคงหรือไม่ ต้องผ่านหงสาวดี และไปยังย่างกุ้ง เพิ่มขั้นตอนนานขึ้น ส่วนจะกระทบมากน้อยเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาตกลงของรัฐบาลไทย กับกองกำลังกะเหรี่ยงฯ อีกครั้ง และต้องติดตามสถานการณ์ว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานหรือไม่อย่างไร    

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์ที่จะมีผลต่อการค้าการขนส่งไทยอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 67 สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศประจำกรุงย่างกุ้ง ได้แจ้งข่าวและประเมินสถานการณ์ ซึ่งจาการตรวจสอบข้อมูลกับผู้ประกอบการขนส่งโลจิสติกส์ในพื้นที่ ทราบว่า บริเวณด่านเมียวดียังเปิดให้บริการนำเข้าส่งออกตามปกติ และเส้นทางขนส่ง ถนนทอโกโก เส้นทางเลี่ยงทดแทน ถนนกอกอเร็ท ก็ยังสามารถใช้ขนส่งได้อยู่

ดังนั้นแม้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง จะยึดเมืองเมียวดีได้แล้ว แต่การค้าและการขนส่งเมียงเมียวดี ยังสามารถดำเนินไปได้ แต่ก็มีความไม่แน่นอนที่อาจกระทบต่อการค้าและการขนส่งในอนาคต ซึ่งกรณีหากเกิดสถานการณ์เลวร้าย จนทำให้ไม่สามารถใช้ด่านเมียวดี หรือกระทบเส้นทางขนส่งนั้น กรมฯ ได้หารือกับผู้ส่งออก เพื่อเตรียมการขนส่งผ่านด่านหรือเส้นทางอื่นๆ เพิ่มเติมจากแม่สอด-เมียวดี เช่น แม่สาย-ท่าขี้เหล็กระนอง-เกาะสอง ท่าเรือแหลมฉบัง หรือด่านอื่นๆ เป็นทางเลือกเพิ่มเติม ดังนั้นภาพรวมการค้า การส่งออกของไทยกับเมียนมา ยังไม่ได้มีผลกระทบ แต่ระหว่างนี้ กรมฯ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป