เมื่อเวลา 09.40 น.วันที่ 9 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐมนตรี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ในประเทศเมียนมา และกรณีเครื่องบินเมียนมา ขอลงจอดที่สนามบินแม่สอด จ.ตาก ว่า การขอความร่วมมือ เป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอน หลังจากมีการขอมาทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็มีการประชุมกัน เพื่อหารือว่าเกิดอะไรขึ้น และดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้นายกฯ ก็รับทราบมาโดยตลอด ฉะนั้น การตัดสินใจที่จะให้เครื่องบิน ในการบินเข้ามาหรือไม่บินเข้ามา รัฐบาลนี้รับทราบมาโดยตลอด และได้ตัดสินใจสอดคล้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเราได้ประสานกองทัพผ่าน สมช.

เมื่อถามว่า เครื่องบินที่ลงจอดมีการขนอะไรกันแน่ เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมไม่ตรงกัน นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นการขนเอกสารทางราชการ เดิมเราก็คาดว่ามีประชาชนชาวเมียนมาเดินทางเข้ามาด้วย โดยเฉพาะข้าราชการ แต่เมื่อเขาสามารถเจรจากันได้ คนที่จะเดินทางเข้ามาก็ไม่ได้เข้ามา มันก็เลยเหลือแต่เอกสารทางราชการ ซึ่งปกติทางการทูตไม่ว่าประเทศใดก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าเป็นเอกสารประเภทใด เนื่องจากเป็นเอกสารลับทางราชการของเมียนมา ย้ำว่าไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังพล ไม่มีทหาร และไม่มีเงิน และชาวเมียนมา ซึ่งเดิมจะเดินทางเข้ามา ก็ขอยกเลิกไป เลยเหลือแต่เพียงเอกสารทางราชการ

นายปานปรีย์ กล่าวว่า โดยนายกฯ ก็มีความเป็นห่วง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ประเทศไทยจะเตรียมการรองรับไว้อย่างไรบ้าง ซึ่งก็ได้รับรายงานว่าปัจจุบันมีการเตรียมการรองรับมานานแล้ว สามารถรองรับผู้อพยพได้ประมาณ 1 แสนคน อยู่ในที่ปลอดภัยชั่วคราว ก็มีคำถามต่อว่า หากกรณีที่มีการอพยพมากกว่า 1 แสนคนจะทำอย่างไร ผู้ที่รับผิดชอบก็ได้แจ้งว่า สามารถที่จะดำเนินการได้ขนาดนี้ โดยกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ติดต่อกับต่างประเทศด้วย หากเกิดความรุนแรงขึ้นมา จำนวนผู้อพยพเข้ามาเกิน 100,000 คน เราจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ประเทศไทยก็อาจจะไม่ได้อยู่โดยลำพัง ไม่ได้อยู่ในวิอาจจะไม่ได้อยู่ในวิสัยที่ดำเนินการได้โดยลำพัง ก็ต้องหารือกับต่างประเทศให้เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วย

เมื่อถามต่อว่า มีข้อกังวลจากหลายฝ่ายกรณีเครื่องบินเมียนมาลงจอดเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไม่มี มันไม่ใช่เป็นเครื่องบินทางทหาร เป็นเครื่องบินพลเรือน ซึ่งปกติเขาก็บินเข้าบินออกประเทศไทยอยู่แล้ว ตนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นประเด็นเลย ในเรื่องชักศึกเข้าบ้าน ทั้งนี้ กองทัพมีความพร้อมหากมีกรณีรุกล้ำน่านฟ้าไทยเราจะดำเนินการอย่างไร เราจะดำเนินการอย่างไร เรื่องนี้ต้องไม่ให้เกิดเด็ดขาด

เมื่อถามด้วยว่า ทางการไทยจะมีออกแถลงการณ์ประกาศจุดยืนในสถานการณ์นี้หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นกลางแน่นอน และเรามีความประสงค์ที่จะให้เกิดสันติสุขในประเทศเมียนมา ฉะนั้นเราจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดความสงบเรีบยร้อยในเมียนมา เพราะประเทศไทยได้รับผลกระทบมาก ซึ่งเราได้เริ่มทำในบ้างส่วนแล้ว แต่วันนี้เมื่อมีการสู้รบกันเกิดขึ้น ก็ต้องหาทางให้เกิดการเจรจา เพื่อให้การสู้รบยุติลงและหันมาพูดคุยกันมากขึ้น 

เมื่อถามว่า ท้ายที่สุดไทยจะปรับบทบาท จากผู้เล่นที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เปลี่ยนไปเป็นคนที่สามารถควบคุมจัดการตรงนี้เหมือนสาธารณรัฐประชาชนจีนได้หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า คงไม่ได้เข้าไปควบคุมใคร เราไม่สามารถที่จะไปควบคุมรัฐบาลอื่นได้ แต่เราจะทำหน้าที่ประสานเพื่อให้เกิดความสันติสุขในเมียนมา นอกจากนี้ ยังมีแผนให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อไปด้วย ส่วนจีนจะเข้ามามีส่วนเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ตรงนี้หรือไม่นั้น อันนั้นเป็นอีกสเต็ปหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของประเทศที่อยู่ติดชายแดนทั้งอินเดีย จีน ลาว และบังกลาเทศ ซึ่งประเทศเหล่านี้จะต้องมาช่วยกัน เพราะเขาได้รับผลกระทบเช่น เดียวกับประเทศไทย.