สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ว่า กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) ออกแถลงการณ์ ยืนยันการโจมตีโดยใช้ขีปนาวุธและอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ใส่อิสราเอล เพื่อตอบโต้เหตุการณ์โจมตีสถานเอกอัครราชทูตอิหร่านในซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ไออาร์จีซี 7 นาย แม้อิสราเอลไม่เคยให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลเตหะรานเชื่อมั่นว่า อิสราเอลเป็นผู้ลงมือ


ขณะที่ พล.ร.ต.ดาเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวว่า ไออาร์จีซีใช้โดรนและขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลรวมมากกว่า 100 ครั้ง และยืนยันว่า ระบบป้องกันทางอากาศของกองทัพสามารถสกัดการโจมตีเหล่านั้นได้ พร้อมด้วยความสนับสนุนจากพันธมิตร คือ สหรัฐ นอกจากนี้ พื้นที่แทบทุกแห่งในอิสราเอล เปิดสัญญาณไซเรนให้ประชาชนหลบภัย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์


ทั้งนี้ การโจมตีกินเวลานานหลายชั่วโมงก่อนยุติ ต่อมา สำนักงานคณะผู้แทนถาวรอิหร่านที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในนครนิวยอร์กของสหรัฐ ออกแถลงการณ์ว่า “สถานการณ์ ณ เวลานี้ยุติแล้ว” สื่อว่า จะยังไม่มีการโจมตีทางทหารเพิ่มเติม “อย่างน้อยในเวลานี้”

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในแถลงการณ์ยังเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มของการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต และอาจดำเนินการเพิ่มเติมทางการทูต โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 51 ของกฎบัตรยูเอ็น ซึ่งระบุว่า “รัฐสมาชิกมีความชอบธรรมในการป้องกันตนเองโดยรวม หากเผชิญกับการโจมตีที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตอำนาจอธิปไตย” พร้อมทั้งเตือนว่า “สหรัฐไม่ควรก้าวก่าย”


ด้านทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ประณามอิหร่าน และยืนยันการอยู่เคียงข้างอิสราเอล ส่วนนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล สั่งปิดน่านฟ้าของประเทศเป็นการชั่วคราว และยืนยันว่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง “พร้อมรับมือ” กับการโจมตีจากอิหร่าน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายปฏิบัติการโดยตรงต่ออิสราเอล.

เครดิตภาพ : AFP