สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ว่า สำนักงานกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งตั้งอยู่ที่นครนิวยอร์ก ออกแถลงการณ์ว่า นักศึกษาซึ่งยังคงร่วมการชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ และต่อต้านอิสราเอล “อาจถูกไล่ออกจากสถาบัน”


แถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียระบุว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้ผู้ประท้วงยุติการชุมนุมอย่างสันติ แต่ผู้ประท้วงกลับปฏิเสธ และยกระดับความตึงเครียดของสถานการณ์ ด้วยการยึดครองอาคารของมหาวิทยาลัย การพ่นสี การสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย และการปิดกั้นพื้นที่ ถือเป็นการละเมิดกฎระเบียบของสถาบันอย่างร้ายแรง


ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเพิ่งประกาศ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการใช้มาตรการพักการเรียนของนักศึกษา ที่ยังคงเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงครัง้นี้ ซึ่งยืดเยื้อนาน 2 สัปดาห์แล้ว โดยนักศึกษาซึ่งถูกพักการเรียน นอกจากจะไม่สามารถเข้าเรียน สอบ และนำเสนอผลงานวิจัยได้แล้ว ยังจะไม่สามารถเข้าใข้บริการทุกประเภทของมหาวิทยาลัย รวมถึงหอพักด้วย


อนึ่ง มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเคยให้ตำรวจเข้ามากระชับพื้นที่ คืนจากกลุ่มผู้ประท้วงมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมีผู้ถูกจับกุมประมาณ 100 คน มีทั้งนักศึกษาและบุคคลภายนอก ตอนนั้นมหาวิทยาลัยส่งสัญญาณแล้วว่า จะไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายกับนักศึกษา แต่จะใช้วิธี “ลงโทษทางวินัย”

ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวถึงการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และสถาบันการศึกษาชั้นนำอีกหลายแห่งทั่วประเทศ “เป็นเสรีภาพของการแสดงออกตามหลักประชาธิปไตย”


อย่างไรก็ตาม บลิงเคนวิจารณ์ การที่บรรดาผู้ประท้วงไม่กล่าวถึงกลุ่มฮามาส ทั้งที่การกระทำของอีกฝ่ายเป็นชนวนเหตุ ให้สงครามในฉนวนกาซาปะทุ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 และยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน


ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เลวร้ายมาก” ที่สถาบันอุดมศึกษาแถวหน้าของสหรัฐพร้อมใจกันจุดกระแสเชิงลบ ให้มีการทำลายล้างอิสราเอล ทำร้ายนักศึกษาชาวยิว และสร้างความเสียหายให้กับชุมชนชาวยิว รัฐบาลอิสราเอลหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าเรื่องเหล่านี้ “จะยุติทันที” และขอให้บรรดาผู้บริหารของสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งในสหรัฐ เร่งควบคุมสถานการณ์ “ด้วยความจริงจังมากกว่านี้”.

เครดิตภาพ : AFP